22 ตุลาคม 2554

จดหมายถึงนายกรัฐมนตรี เฝ้าระวังสถานการณ์หลังน้ำลด ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะจะเพิ่มมากขึ้น

จดหมายถึงนายกรัฐมนตรี เฝ้าระวังสถานการณ์หลังน้ำลด ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะจะเพิ่มมากขึ้น
            อิสรชน เป็นองค์กรที่ทำงานกับผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ พื้นที่หลัก คือสนามหลวง คลองหลอด ได้เฝ้าติดตาม สถานการณ์ตั้งแต่น้ำท่วม และร่วมเฝ้าติดตามสถานการณ์มาด้วยอย่างต่อเนื่องด้วยความเป็นห่วงและกังวลใจ ทั้งนี้ได้ลงพื้นที่ไปให้ความช่วยเหลือในบางพื้นที่ตามกำลังขององค์กร
            สถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงที่หลังจากน้ำลด ก็คือ การออกมาใช้ชีวิตในที่สาธารณะ ของคนจะเพิ่มจำนวนมากขึ้น อันเนื่องมาจากหลายสาเหตุ หนึ่ง คือ การว่างงาน การตกงาน สิ้นเนื้อประดาตัว ที่กล่าวเช่นนั้น อิสรชนเคยเก็บข้อมูล หลังสถานการ์รัฐประหาร ปี 49 โรงงานหลายโรงงานปิดตัวลง คนงานตกงาน ในสนามหลวง มีสาวโรงงานออกมาใช้ชีวิตในที่สาธารณะและบางรายเข้าสู่อาชีพของพนักงานบริการอิสระ กว่า 30% และในเหตุกาณ์สถานการร์น้ำท่วมครั้งนี้ แหล่งอุตสาหกรรม นิคมอุตสาหกรรม หลายที่ปิดตัวลง พนักงานพักงาน หยุดงานไม่มีกำหนด บางรายกลับสู่ถิ่นฐาน แต่บางราย ต้องมาดิ้นรนช่วงโรงงานปิดตัว ในกรุง เพื่อหารายได้ในการพยุงชีพ เลี้ยงชีพ บางรายกลับสู่ครอบครัวไม่ได้ เพราะกลับสู่ชนบทก็ทำมาหากินไม่ได้ สิ่งที่น่ากังวลและเป้นห่วงมากที่สุด ที่อิสรชน เฝ้าระวังและร่วมประเมินสถานการร์ร่วมกับ บ้านมิตรไมตรี กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่คงของมนุษย์
            สาเหตุที่สอง คือ สุขภาพจิต ผู้ประสบภัยน้ำท่วมบางราย ที่หมดสิ้นเนื้อประดาตัว ตั้งหลักไม่ทัน เข้าสู่ภาวะเครียดและบางรายอาจเสียสติ เข้าสู่ภาวะการป่วยทางจิต และออกมาสู่ถนน เพิ่มมากขึ้น ที่กล่าวเช่นนี้เพราะ สถานกณารณ์ผู้ป่วยทางจิต เพียงที่สนามหลวง ณ เวลานี้ก็มีกว่า 40% ที่มีอาการทางสมองและจิต และตามถนนทุกเส้นคุณจะเห็นว่ามีผู้ป่วยทางจิต อย่างน้อยหนึ่งรายต่อถนนทุกเส้น สิ่งที่เราอิสรชนกล้ายืนยันที่จะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น อันเนื่องมาจาก การย้อนเข้าสู่อดีต ไม่ว่าสถานการณ์ ฟองสบู่แตก รัฐประหาร ทำให้ธุรกิจและโรงงานหลายโรงงานปิดตัวลง บางรายสิ้นเนื้อประดาตัว ตั้งสติไม่ได้ ก็กลายเป็นผู้มีอาการทางจิต พลัดดหลง หรือหายออกจากบ้าน จนกลายมาเป็นผู้ใช้ชีวิตนี่สาธารณะ
            สาเหตุอีกประการหนึ่งคือการสิ้นเนื้อประดาตัวจากงานภาคการเกษตร ที่ดินทำกินถูกน้ำท่วมขังเป็นเวลานาน ทำให้ต้องดิ้นรนเดินทางเข้าสู่เมืองใหญ่ที่ยังพอจะมีโอกาสในการทำมาหากินรวมถึงบางส่วนในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีแนวโน้มจะใช้พื้นที่สาธารณะเป็นที่พักพิงและอาศัยในช่วงเวลาที่ตั้งหลักตั้งตัวในกรุงเทพมหานคร
            จึงเป็นสถานการณ์ที่เฝ้าระวังและคาดว่าจะมีจำนวนผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ เพิ่มมากขึ้น กว่าปสถานการณ์ปกติ แต่ทุกรัฐบาลก็จะหันไปเน้นทางด้านเศรษฐกิจ เม็ดเงิน แต่อยากให้หันมาเห็นเรื่องบุคคลมากขึ้น เน้นการดูแลและพัฒนาบุคคลไปพร้อมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ ต่อให้การพัฒนาเศรษฐกิจก้าวเดิน แต่คนไม่ได้ได้รับการดูแลและพัฒนาร่วมกันไปด้วย การก่อเกิดการกดทับ ระบบชนชั้น ก็จะมีคู่กันไป เพราะคนจะมองไม่เห็นคนด้วยกันเอง มองไม่เห็นความเท่ากัน สิทธิอันพึ่งได้ของคนเท่ากันเอง  เพราะทุกวันนี้ผู้ที่ออกมาใช้ชีวิตในที่สาธารณะ อย่างสนามหลวง อย่างน้อยตายเฉลี่ยเดือนละ 1 ราย กลายเป็นศพไม่มีญาติ ตายไม่ได้ตาย เพราะ ไม่ได้แจ้งตายและอาจเกิดการสวมสิทธิภายหลังได้ ซึ่งอาจจะมองเป็นปัญหาที่ไม่สำคัญ แต่ลึกแล้ว มันเกี่ยวเนื่องกันหมด  การรักษาพยาบาลถ้าไม่มีใครรับเป็นญาติก็ไม่ได้รับการรักษา เอากลับมาคืนที่ สุดท้ายก็นอนเสียชีวิต ณ ที่นั้น ทั้งที่เขาควรได้รับสิทธิการรักษาพยาบาลขั้นพื้นที่ฐานตามสิทธิความเป็นมนุษย์ ทุกอย่างเริ่มต้นจากการมองเห้นคนไม่เป็นคน มองคนไม่เท่ากัน   การฟื้นฟูสภาพจิตใจ สังคม ต้องทำควบคู่ไปกับการฟื้นฟูทางด้านเศรษฐกิจ เพราะความมั่นคงทางสังคมจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการกอบกู้สถานการที่เลวร้ายหลังจากผ่านพ้นวิกฤติพิบัติอุทกภัยของประเทศในครั้งนี้

นที สรวารี
นายกสมาคมสร้างสรรค์กิจกรรมอิสรชน

7 ตุลาคม 2554

ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิดและเห็น



ทำไมถึงไล่พวกเขา คนจน คนที่บาดเจ็บจากสังคม คุณจะไม่ให้เขามีที่ยืนในสังคมเลยหรือ ทุกวันนี้เขาก็ถูกมองข้ามจากสังคมอยู่แล้ว การดิ้นรนเพื่อเลี้ยงชีวิตวันละพอกิน พออยู่ ตามกำลัง กับชีวิตครอบครัวที่ต้องคอยเลี้ยงดู คุณภาพชีวิตของเขาไม่มี เขาขอเพียงที่หลับนอนที่สนามหลวง แต่วันนี้คุณขอสนามหลวงให้กับคนส่วนใหญ่ ที่มีรถ ที่มีบ้าน แล้วเขาละ จะอยู่ที่ไหน จะเยียวยาอย่างไรก็ช่าง ไม่เดือดร้อนคุณใช่ไหม ผู้บริหารกทม. ทั้งหลาย


.
       จากที่เคยมีนักวิชาการบางท่านนำเสนองานวิจัยที่อ้างว่าทำจากฐานการลงทำงานในพื้นที่โดยเฉพาะสนามหลวงอย่างลงลึกและเกาะติดอย่างต่อเนื่องกว่า 2 ปี และนำเสนองานจนเป็นที่กล่าวขานกันในหมู่นักวิชาการด้านมานุษยวิทยาและสังคมวิทยาว่าเป็นงานวิจัยที่ยอดเยี่ยมฉบับหนึ่งนั่น ในฐานะที่อิสรชน ก็ถือได้ว่าทำงานกับกลุ่มคนเร่ร่อนไร้บ้านอย่างยาวนานและต่อเนื่ององค์กรหนึ่ง ขออนุญาตแสดงความเห็นทั้งที่สอดคล้องในทิศทางเดียวกันและเห็นแย้งในอีกมุมหนึ่งที่มองจากมุมของคนเร่ร่อนไร้บ้านเองไม่ได้มองจากมุมที่คนนอกมองเข้ามาเพียงอย่างเดียว
ถึงบ้าก็น่ารัก เมียมีอาการทางจิต ที่ไม่สื่อสารกับใคร แต่สามีก็ดูแลกันและกันเสมอมากว่า 10 ปี
         รูปแบบการทำงานของอิสรชนออกจะค่อนข้างนิสัยเสียในด้านของการลงไปฝังตัวแบบลึกถึงลึกมากกับกลุ่มเป้าหมายที่เราทำงานร่วมด้วย เข้าทำนอง ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมกิน ร่วมอยู่ ร่วมนอน กันเลยทีเดียว สิ่งที่เราพบเห็น พบเจอ มีทั้งมุมที่สอดคล้องกับ นักวิชาการท่านนั้น อ้างในงานวิจัย และยังมีมุมที่ผิดแผกแตกต่างออกไปเกือบจะสุดขั้วเลยด้วยซ้ำไป

            แม้ว่ารัฐธรรมนูญ ฉบับที่ผ่านความเห็นชอบในมาตรา 55 จะระบุถึงมาตรฐานขั้นต่ำ (สสร.บางคนออกมาบอก) ที่ รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ให้รัฐบาลที่เข้ามาบริหารหลังจากมีการเลือกตั้งทั่วไปที่จะถึงนี้ นำไปกำหนดเป็นนโยบายในการบริหารประเทศ แต่ถามว่าจะมีพรรคการเมืองใดจะให้บริการแก่กลุ่มผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะเป็นอันดับต้น ๆ ในเมื่อกลุ่มคนเหล่านี้ ไม่ได้ออกมาใช้สิทธิ์ตามหน้าที่ในการละคะแนนเสียงเลือกตั้งพวกเขาเข้ามาบริหารประเทศ ?? ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ ก็ ต้องเป็น ประชากรที่ต่ำกว่าประชากรชั้นสามด้วยซ้ำไป คือพวกที่ต้องแอบขึ้นรถไฟ เพราะตั๋วโดยสารไม่มี หรือมีแต่หล่นตกหายไปแล้ว ครั้นจะเสียค่าปรับเพื่อได้ตั๋วใหม่ก็ ไม่มีค่าปรับ ไม่มีใครรับรองว่า เป็นคนเคยมีตั๋วมาก่อน ถึงขนาดบางทีอาจจะต้องโดนเชิญลงจากรถในสถานีถัดไป สู้ ไม่ ไปไหน อยู่กับที่ดูน่าจะมีความสุขกว่า ไม่ต้องดิ้นรนอะไรให้ต้องเสียความรู้สึกไปเปล่า ๆ
ลุงชัยพรตอนนี้กลับมาอยู่ที่บ้านมิตรไมตรี มาเป็นอาสาสมัครสอนพิเศษภาษาอังกฤษ วันนี้แวะมาเยี่ยมอิสรชนที่สนามหลวง
        ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะที่ อิสรชนพบเจอในการทำงาน ไม่ใช่พวกสิ้นไร้หนทางในการดำเนินชีวิตไปเสียทั้งหมด หากแต่ หลายคนโดนกระทำจากสังคม จากชุมชน  จากครอบครัว จากคนรอบข้าง จนทำให้เขา หมดอาลัยตายอยากในชีวิตก็มีไม่น้อย หลายคนออกจากบ้านเพราะไม่อยากเป็นภาระของลูกหลาน หรือพี่น้อง หลายคน ได้รับความกดดันจากสังคมและชุมชนที่อาศัยอยู่ ไม่ได้เป็นที่ต้องตั้งใจจะออกมาเป็นภาระของสังคมด้วยซ้ำไป หลายคนที่อิสรชน ได้มีโอกาสพูดคุยด้วยก่อนที่เขาจะหายตัวไปจากสนามหลวงหรือที่สาธารณะแห่งอื่น ๆ เป็นคนที่มาจากครอบครัวที่ค่อนข้างมีฐานะดี มีการศึกษา แต่ ก็ พอใจที่จะออกมาใช้ชีวิตที่จะแสวงหาคำตอบของชีวิตด้วยตัวของเขาเอง ในรูปแบบของเขาเอง
 รูปนี้พอจะสู้หนุ่มจีนไหวไหมค่ะ น้องอาสาสมัครถ่ายไว้เมื่อปีที่แล้วตอนเจอที่สยามก่อนมาพบกันในสนามหลวงปีนี้ ตอนเอาภาพให้เจ้าตัวดูเขานั่งนึกตั้งนาน จนไม่ยอมกินข้าวไข่เจียวที่ซื้อให้ แต่หันมาพูดเพียงประโยคเดียวว่า "หล่อ" ชมตัวเองด้วย ความน่ารักของผู้ป่วยข้างถนน ที่เราเริ่มต้นคุยได้เกือบเดือน จนวันนี้มานั่งเฝ้าเราทุกวันที่ลงพื้นที่        หลายคนออกมาใช้ชีวิตอย่างอิสระนานวันเข้า ความคิดที่เคยมีกรอบกักขังเขาไว้ ก็ เริ่มเลือนรางและหายไปในที่สุด เขาประกาศตัวเป็นไทจากพันธนาการทางสังคมที่ห่อหุ้มเขาเอาไว้ตั้งแต่แรกเกิด ใช้ชีวิต โดยไม่ ติดยึดกับกรอบเดิม ๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาอยู่นอก หรือเหนือกฎหมาย เพียงแต่ เขาไม่ยอมอยู่ภายใต้ การตีตราของสังคมว่า เขาเป็นภาระหรือเป็นขยะสังคมอย่างที่หลาย ๆ คนมองและพิพากษาเขา
        หากวันใดคุณมีโอกาสหรือผ่านไปในที่ที่ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะที่ เขาใช้ชีวิตอย่างมีความสุข อยู่กันแบบครอบครัว เนื้อตัวอาจจะดูสกปรกและมอมแมมไปบ้าง ก็ ขออย่าได้มองอย่างพิพากษาเขาว่า เขา เป็นอย่างที่ ใครเคยบอกคุณต่อ ๆ กันมา ลองมองในมุมที่อิสรชนมอง แล้วคุณเอง จะมีรอยยิ้มแห่งความปิติปรากฎขึ้นทันทีโดยไม่รู้ตัว
คุณลุงที่มาเป้นยามแล้วถูกโกง ตอนนี้ก็ต้องดิ้นรนใช้ชีวิตในที่สาธารณะ