แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Homeless flooding ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ สนามหลวง ซีรีส์เกาหลี นที สรวารี แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Homeless flooding ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ สนามหลวง ซีรีส์เกาหลี นที สรวารี แสดงบทความทั้งหมด

25 มิถุนายน 2557

การช่วยเหลือผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะในนครนิวยอร์ก

AREA แถลง ฉบับที่ 81/2557: 20 มิถุนายน 2557
การช่วยเหลือผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะในนครนิวยอร์ก
          การจัดหาที่อยู่อาศัยอย่างถาวรให้ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะเป็นหนทางในการช่วยเหลือพวกเขาได้อย่างยั่งยืนที่สุด ทั้งนี้เป็นประสบการณ์สำคัญที่เรียนรู้จากกรณีมหานครนิวยอร์ก
          เมื่อเวลา 16:00 น. ของวันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน 2557 หรือเทียบกับเวลาไทยคือ 03:00 น. ของเช้าวันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน 2557 ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าทรัพย์สินไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส ในฐานะประธานกรรมการมูลนิธิอิสรชน ซึ่งเป็นองค์กรสาธารณประโยชน์ที่ช่วยเหลือผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะในประเทศไทย พร้อมด้วย คุณวิไลพรรณ หลวงยา รองประธานมูลนิธิ และคุณเมธินี คุณวิศาล อาสาสมัครมูลนิธิ ได้เข้าพบนายเดวิด เบียร์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และนายเจฟ ชูเออร์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเทศสัมพันธ์ ของมูลนิธิคอมมอนกราวน์ ซึ่งเป็นองค์กรเอกชนดำเนินการด้านการช่วยเหลือผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ ณ สำนักงานใหญ่บนถนนสายแปด มหานครนิวยอร์ก เพื่อศึกษาประสบการณ์ของมูลนิธิแห่งนี้
          มูลนิธิคอมมอนกราวน์ มีคติว่า “Ending homelessness in New York” หรือทำให้การไร้ที่อยู่อาศัยหมดไปในนครนิวยอร์ก มูลนิธินี้เคยได้รับรางวัลดีเด่นของสหประชาชาติด้านการจัดหาที่อยู่อาศัยแก่ผู้มีรายได้น้อย สามารถช่วยผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะได้ราว 5,000 คน จากจำนวนผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะทั้งหมดทั่วนครนิวยอร์กประมาณ 50,000 คนในขณะนี้ ตัวเลขผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะลดลงอย่างต่อเนื่องก่อนช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ ปี 2551 แต่หลังจากนั้นกลับมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจมีผลสำคัญต่อการเกิดสภาพไร้บ้าน
          ในปัจจุบันมูลนิธิคอมมอนกราวน์สามารถจัดหาที่อยู่อาศัยได้ประมาณ 3,200 หน่วย ในโครงการที่อยู่อาศัยประมาณ 13 โครงการ นอกจากนั้น ยังมีพื้นที่ๆ ช่วยบำบัดความต้องการเฉพาะหน้าแก่ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะอีก 120 แห่ง  ห้องทั่วไปมีขนาด 30 ตารางเมตร โดยมีต้นทุนค่าก่อสร้างสูงถึง 9 ล้านบาท (คิดอัตราแลกเปลี่ยนคร่าว ๆ 30 บาทต่อ 1 เหรียญสหรัฐ) แต่ก็มีห้องขนาดเล็ก ๆ เพียง 15 ตารางเมตร ทางมูลนิธิคิดค่าเช่าประมาณ 6,000 บาทต่อเดือน ในขณะที่ค่าเช่าตลาดคือ 21,000 บาทต่อเดือน มูลนิธิคัดเลือกผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะมาเช่าได้อย่างโปร่งใส ไม่ใช่หาใครมาสวมสิทธิ์ หรือเช่าช่วง และปรากฏว่าผู้เช่า เต็มใจที่จะเช่า ณ ค่าเช่าราคาถูกนี้ โดยแทบไม่มีใครถูกไล่ออกเพราะไม่สามารถจ่ายค่าเช่าได้
          ผู้ที่เช่าอยู่ในโครงการที่อยู่อาศัยที่จัดหาให้นี้มักเป็นผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะมีอาการป่วยทางจิตถึงราว 40% แต่ไม่ได้อยู่ในระดับรุนแรง นอกนั้นเป็นกลุ่มอื่นๆ แต่ส่วนมากเป็นปัจเจกบุคคล ไม่ได้เป็นครอบครัว การจัดหาที่อยู่อาศัยให้ จะทำให้เขาสามารถกลับเข้าสู่สังคมปกติอย่างมีศักดิ์ศรี ส่วนที่อาบน้ำ อาหาร การรักษาพยาบาลเบื้องต้น ตลอดจนการจัดหางานทำให้กับผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะเหล่านี้
          มูลนิธินี้เกิดขึ้นมา 25 ปีแล้ว และมีความเป็นไปได้ทางการเงินในการดำรงอยู่ โดยรัฐบาลให้เงินสนับสนุนส่วนหนึ่ง เพราะการสร้างที่อยู่อาศัยโดยภาครัฐแพงกว่า เสียค่ารักษาพยาบาลแพงกว่าที่จะจัดหาที่อยู่อาศัยแบบนี้ อีกส่วนหนึ่งก็คือผู้บริจาค หรืออาจเรียกว่าผู้ลงทุนยินดีบริจาคเงิน 0.8 เหรียญสหรัฐ แต่สามารถนำไปหักภาษีได้ถึง 1 เหรียญสหรัฐ เป็นระยะเวลา 10 ปี ทำให้มีเงินมากเพียงพอกับการดำเนินการ รายได้ของมูลนิธิตกปีละ 1,620 ล้านบาท มีลูกจ้าง 400 คน โดยสามในสี่เป็นผู้ดูแลอาคารต่าง ๆ ที่เหลืออยู่ในสำนักงานใหญ่ ในอนาคตอันใกล้นี้ ยังจะจัดสร้างที่อยู่อาศัยเพิ่มอีก 700 หน่วย
          ในอนาคต มูลนิธิอิสรชนอาจได้พยายามนำประสบการณ์ดีๆ จากมหานครนิวยอร์กนี้มาใช้ในกรุงเทพมหานคร และพื้นที่อื่นบ้าง
ผู้แถลง:
ดร.โสภณ พรโชคชัย (sopon@area.co.th) ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส หรือ AREA (www.area.co.th): ซึ่งเป็นองค์กรที่มีฐานข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ภาคสนามขนาดใหญ่ที่สุดและปรับปรุงให้ทันสมัยที่สุดในประเทศไทย และดำเนินการเก็บข้อมูลต่อเนื่องมาตั้งแต่ พ.ศ.2537 เป็นศูนย์ข้อมูลที่มีความเป็นกลางทางวิชาการ และเป็นอิสระทางวิชาชีพ โดยไม่ถูกครอบงำโดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียใด ๆ สมาชิกของศูนย์ข้อมูลฯ ได้รับข้อมูลที่เป็น First-hand information ในเวลาเดียวกัน

15 มิถุนายน 2557

คำว่าเพื่อนกับผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ


13 มิถุนายน 2014 เวลา 20:30 น.
ขอเขียนบทความสั้นๆสักเล็กน้อยกับการลงมาทำงานกับผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ ใน 13 กลุ่ม การทำงานของมูลนิธิอิสรชนนั้น คือการลงมาเป็นเพื่อนพูดคุย สร้างความคุ้นเคยในเบื้องต้น และหาทางส่งเขากลับสู่ภูมิลำเนา ในคำว่าเพื่อนนั้นกับในการทำงานของอิสรชน ต้องย้อนถามว่า คุณเคยมีเพื่อนสนิทมั้ย แล้วเพื่อนมีหน้าที่ไว้ทำอะไร ? คำตอบก็คือ ก็เพื่อนมีไว้ พูดคุยปรึกษา พูดคุยกันได้ทุกเรื่องในการลงพื้นที่แต่ละครั้งของเรา จะเข้าไปคุยในแบบเพื่อน ขั้นตอนแรกถือขนมหยิบติดไม้ ติดมือไปด้วย แล้วก็เข้าไปนั่งพูดคุยกับพวกเขา ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉันได้ลงมาทำอาสาสมัครที่สนามหลวง คลองหลอด และจนได้มาเป็นเจ้าที่ภาคสนามที่มูลนิธิอิสรชน ฉันมีเพื่อนมากมาย มันคือมิตรภาพข้างถนน มิตรภาพที่เข้าใจกัน แบ่งปันกัน เท่าเทียมกัน ช่วยเหลือกัน หลังจากนั้นฉันได้มีโอกาสส่งเพื่อนกลับบ้านนั้นก็คือพี่เฉลิม ออกมาเร่ร่อนตั้งหลายปี น้อยใจครอบครัว เลยออกมาเร่ร่อน ฉันได้ใช้ความเป็นเพื่อนในการลงไปพูดคุยกับพี่เฉลิมทุกครั้งและได้ชวนเค้ากลับบ้าน จนวันที่ไปส่งพี่เฉลิมกลับบ้าน ฉันก็เป็นคนไปส่งเอง ไปเยี่ยมพี่เฉลิมที่ร.พ นี่ละคำว่า ' เพื่อนที่เราใช้ในการทำงาน เพื่อนสามารถส่งเพื่อนกลับบ้านได้ เพื่อนคนนี้ก็ดีใจ และเพื่อนอีกคนนึงของฉันคือ พี่เวศ พี่เวศปกติจะเมาเป็นบ้างวัน ถ้าวันไหนโชคดีเจอพี่เวศไม่เมาก็ดีหน่อย อาจจะพอคุยกับพี่เวศได้บ้างแต่ถ้าวันไหนพี่เวศเมา เราก็จะคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่พอเวลาพี่เวศมีปัญหามีเรื่องไม่สบายใจก็จะมาปรึกษาหรือมาพูดคุยกับฉันเสมอ ในความเป็นเพื่อนเราอาจจะเรียกได้ว่าสนิทกันเพราะเจอหน้าพี่เวศเราก็ทักทายตลอดพูดคุยตลอด ดูแลในเรื่องสุขภาพ การทำแผลหรือแม้กระทั่ง พาเพื่อนส่งโรงพยาบาล การทำงานที่เราทำ ไม่ใช่แค่มองว่าเค้าเป็นผู้รับบริการกับเราเป็นเจ้าหน้าที่แค่นั้น แต่การทำงานของเรา คือ เพื่อนมากกว่า เพื่อนบางคนอาจจะมีเพื่อนเยอะ เพื่อนที่สนิทจริงๆอาจจะมีแค่ไม่กี่คน นี่ละมิตรภาพของคำว่า เพื่อนกับผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ 

9 มิถุนายน 2557

เส้นทางการเดินทางที่หลากหลายของผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ

7 มิถุนายน 2014 เวลา 21:00 น.

วันนี้ได้มีโอกาสไปติดตามเส้นที่ ทางของเพื่อนเราหรือผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะที่มารับของแจกตามเทศกาลต่างๆที่ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ที่จังหวัดสมุทรสาครก่อนหน้านั้นจะขอเอ่ยว่าตัวเราได้ลงพื้นที่ ที่สนามหลวงคลองหลอดทุกวันอังคารกับวันศุกร์เป็นประจำช่งนี้ในพื้นที่สนามหลองหลอดจะเงียบเหงาเพราะเพื่อนเราในพื้นที่ต่างก็ไปรับของแจกที่ตามเทศกาลต่างๆ อย่างเช่นช่วงนี้วันที่ 4-8 มิถุนายน มีงานการแห่เจ้าพ่อศาลหลักเมือง ก็จะมีการแจกทาน การแจกผัดหมี่ ฉายหนังกลางแปลง ต่างๆ เสมือนเป็นงานบุญ งานวัด เพื่อนเราผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะแต่ละคนจะมีโพยจดเอาไว้ว่าวันที่เท่าไหร่ เดือนอะไร ที่ไหนที่จะมีเทศกาลรับของแจกบ้าง ถึงในช่วงหน้าเทศกาลต่างๆตามจังหวัดต่างๆที่ใกล้กับกทม เพื่อนเราผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะก็จะมารอรับของแจกและมารอดูฉายหนังกลางแปลง พอถึงหมดช่วงในหน้าเทศกาลเพื่อนเราผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะก็ต่างจะทยอยกลับมาสู่พื้นที่ ที่เขาเคยอยู่ หรือกลับสู่สภาวะปกติ เพราะฉะนั้นในช่วงที่มาเทศกาลรับของแจก ส่วนที่เหลือในพื้นที่ก็จะมีแต่ผู้ป่วยทางจิต คนป่วย อย่างวันนี้เราได้มาลงตามดูเพื่อนเราผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะที่มารอรับแจกผัดหมี่ที่ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสมุทรสาคร ได้เจอทั้งเพื่อนที่อยู้สนามหลวงและเพื่อนที่มาจากทั่วๆทุกเขตของกทมและเพื่อนในตัวจังหวัดสมุทรสาครเองเราได้ลงไปนั่งพูดคุยกลับกลุ่มเพื่อนเราผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะที่แต่ก่อนเดิมอยู่สนามหลวง คุณลุงท่านนึงเล่าให้ฟังว่า ช่วงนี้มาอยู่พื้นที่สมุทรสาครก่อนเพราะว่าที่สนามหลวงมีเหตุการณ์ที่ไม่ปกติและช่วงนี้เค้าประกาศเคอฟิวทำให้ใช้ชีวิตอย่างปกติไม่ได้อีกอย่างตนกลัวถูกยิงเลยมาอาศัยอยู่ที่นี้ก่อน คุณลุงยังได้บอกอีกว่าช่วงตอนกลางคืนที่เค้าฉายหนังกลางแปลงจะพบเจอเพื่อนเราเยอะมากเพราะจะมานั่งจับพื้นที่หน้าจอฉายหนัง เพื่อรอดูฉายหนัง เป็นความสุขทางใจเล็กๆของผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะและเราได้ลงพื้นที่ต่อที่วัดพระปฐมเจดีย์ที่จังหวัดนครปฐม ก็ได้พบเจอเพื่อนเราที่ป่วยทางจิต 1 คนนอนอยู่ในศาลาวัด และได้เข้าไปพูดคุยกับคุณลุงท่านนึงมาจากสายไหมแกบอกว่าตั้งใจจะมาไหว้พระละหนีความวุ่นวายในเมืองหลวงมาหาที่สงบพักผ่อนจิตใจอดีตแกเคยเป็นทหารผ่านศึกเก่า มีหลากหลายเส้นทางของผู้ใช้ชีวิตในที่สาธาณะ เส้นทางที่จะไปรับของแจกไหว้ หรือเส้นทางที่ออกจากบ้านมาสู่ถนน เและเส้นทางที่กลับบ้านของพวกเขา ในปัจจุบันเราพบว่าเริ่มมีผู้สูงอายุที่ออกมาใช้ชีวิตในที่สาธารณะเพิ่มขึ้นอาจจะด้วยมาจาก อาการหลงลืม หรือโรคอัลไซเมอร์ ความจำเสื่อม แต่งานของเรายังดำเนินต่อไปเพื่อช่วยเหลือ ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะให้มีความเท่าเทียมกับคนในสังคม เพราะเราเชื่อว่า คนเท่ากับคนเสมอ 

11 กุมภาพันธ์ 2557

โปรดอย่ามองฉันเป็นร่างที่ไร้วิญญาณแต่จงมองฉันเป็น คน=คุณ

คุณคิดว่าเป็นเรื่องง่ายไหม ที่คนหนึ่งคนต้องมานอนข้างถนน กินข้าวในถังขยะ มีเสื้อผ้าเพียงตัวเดียว ไม่มีเงินในกระเป๋าสักบาท ต้องดิ้นรนมีชีวิตในถนน เพื่อมีลมหายใจ เพื่อรอความหวัง เพื่อรอคอยการกลับบ้าน มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เขาไม่ได้ขี้เกียจอย่างที่สังคมตีตรา ถ้าเขาขี้เกียจจริง เขาคงไม่อยู่ในถนนเพื่อรอสักวันที่มีใครมองเห็นเขา กว่า 10 ปี
            ฉันลงพื้นที่ ภาพของคนที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าทำไมโลกนี้มันช่างหาความเท่ากันของความเป็นคนได้น้อยเหลือเกิน ภาพของชายคนหนึ่งที่สายตามองลอยออกไปกลางถนน สายตาแห่งความโศกเศร้าที่ยังรอความหวัง เมื่อเดินเข้าไปคุย ชายอายุราว ๆ 40 กว่า เล่าย้อนรอยอดีต พร้อมสายตาที่โศกเศร้า ปนคิดถึง ชายที่จากบ้านมาเพราะความหวังมาขุดทองในเมืองหลวง แต่โชคร้ายกลับไม่ประสบผลสำเร็จ ประจวบกับเมียที่บ้านก็มีสามีใหม่ในช่วงที่ตนมาขนขวายทำงานในเมืองหลวง  ณ ตอนนี้ไม่ต้องพูดถึง ความเจ็บปวดจากการถูกหักหลัง มันคงไม่จางหาย แต่คงไว้แค่ความชินชา แต่ยังมีความหวังที่จะกลับบ้าน อยู่ใกล้ ๆ ลูกสาว ที่ตอนนี้ทำงานใน เซเว่น และญาติพี่น้อง แต่ไม่อยากรบกวนญาติพี่น้อง เพราะบ้านตนเองก็ไม่เหลือแล้ว ตอนนี้สร้างความหวังกับตัวเองด้วยการเก็บขวดขาย ออกเดินตั้งแต่เช้าจดเย็น ไม่กินอาหารสักมื้อ เพื่อจะเก็บเงินได้เยอะ ๆ  รายได้ต่อวัน 30-100 บาท กินแต่ตอนเย็น คือ มาม่า กับน้ำร้อนใน เซเว่น เพื่อเก็บเงินให้ได้หมื่น กลับบ้านไปหาญาติ  พร้อมทุก 15 วัน พอเจียดเงิน มาเสี่ยงโชค 1 ใบ เพื่อวันหนึ่งโชคอาจเข้าข้าง เป็นเรื่องราวที่ฟังเหมือนตลก แต่ตลกไม่ออก มันช่างมีเรื่องราวที่สับซ้อนอยู่ในคนหนึ่งคน ที่ยิ่งกว่ามีกินมีใช้ แต่เขาไม่มีเลย เงินที่จะกินแต่ละมื้อยังไม่มี
            พอมองหันมาอีกด้าน ภาพของหญิงคนหนึ่ง ที่ต้องระเหเร่ร่อนมาไกล เพื่อหลีกหนีความปวดร้าวในชีวิตที่ถูกกระทำ ย่ำยี ชีวิตที่ทุกวันพร่ำบอกว่าอยากกลับบ้าน แต่ไม่มีบ้านให้กลับ สามีมีชู้ กระทำทางจิตใจที่ เราคนภายนอกมองอาจเป็นเรื่องราวแค่นี้ แต่เราเมื่อฟังเขาเล่า น้ำเสียงที่ปนความเจ็บลึกที่ไม่มีใครเข้าใจถ้าไม่เป็นเขา และเพราะเขาก็ไม่เป็นเรา เขาถึงคิดไม่เหมือนเรางั้นอย่างเอาคำว่า “แค่นี้” มาตัดสินคน เพราะเขากับเราคนละความคิด แต่มีความเป็นมนุษย์เหมือนเรา หญิงที่วันนี้มีเพียงเหล้าเป็นเพื่อน คนเดินผ่านไปผ่านมาก็ดูถูก เหยียดหยาม รังเกียจ มองว่าอีขี้เมา แต่คุณรู้ไหม กว่าเขาจะอยู่ในสภาพนี้ เขาสู้มากี่ครั้ง ล้มมากี่ครั้ง แต่สุดท้ายไม่มีที่ยืนให้กับเขา
            เรื่องราวที่เขียนมาทั้งนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของคนในพื้นที่ ที่เราพบเจอ เราไม่ได้อยากเล่าเรื่องราวให้คุณสงสาร แต่อยากให้คุณเข้าใจในความเป็นเขา และมองเขาเท่ากันกับคุณ ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งและหยิบยืนความเป็นเพื่อนให้กับเขา อย่าตีตรา และดูถูกความเป็นมนุษย์  เขาคือร่างมนุษย์ที่มีวิญญาณ ไม่ใช่ร่างที่ไร้วิญญาณ ที่คนเดินผ่านไปมามองเป็นขยะ แต่ถ้าคุณมองเขาเป็นคนเท่ากับคุณ การแบ่งปันในฐานะเพื่อนร่วมสังคมจะเกิดขึ้น ความเป็นเพื่อนจะถูกหยิบยกให้กัน มามองคนในที่สาธารณะใหม่นะค่ะ ลองเปิดใจ และมองว่าเขาก็คือ คน กิน ขี้ ปี้ นอน เหมือนกับเรา มีรัก โลภ โกรธ หลง  ทุกอย่างเหมือนกัน แต่โอกาสอาจจะต่างกัน แต่เขาคือ    คน=คุณเท่านั้นเอง

jasmin

27 มกราคม 2557

สื่อสร้างสานสุขที่จ.น่าน

 เริ่มต้นก่อนเลยว่าไปน่านตั้งแต่วันที่ 20 - 24 มกราคมพ.ศ 2557 จุดประสงค์ของการเดินทางครั้งนี้คือการไปแจกของให้เด็กนักเรียนบนดอยร.รตะเวนชายแดน100ปีสมเด็จย่าครั้งแรกที่ได้ถึงจังหวัดน่านเราถูกต้อนรับด้วยความอบอุ่นและเป็นกันเองรู้สึกดีใจและมีความสุขมากและแล้วก็ถึงวันที่จะเดินทางขึ้นดอยจิงๆนั่งรถจนจนเมารถและรู้สึกยังไม่ค่อยคุ้นชินพอขึ้นไปถึงร.รตำรวจตะเวนชายแดนรู้สึกว่าน้องๆน่ารักมากพอเขาเห็นว่าพวกเรามาพวกเขาดีใจแล้วกล่าวคำว่าสวัสดีตลอดเวลาที่รถเราวิ่งเข้ามาในร.รน้องๆหลายๆคนยังมีการเดินเท้าไปร.รอยู่วันละ 2กิโลซึ่งมันทำให้เด็กกรุงเทพอย่างเราคิดได้ว่าทำไมเรามีโอกาสมากกว่าพวกเขาแต่เรากลับไม่สนใจแต่พวกเด็กๆอยากเรียนอยากมีความรู้แต่โอกาสยังไม่เข้าถึงพวกเขาที่ร.รตำรวจตะเวนชายแดนมีครูประมาณแค่3คนเด็กนักเรียนประมาณ 70 คนเองหลังจากแจกของเสร็จแล้วพวกพี่ๆก็ได้พาเรามาในหมู่บ้านห้วยลึกมาเล่นแจกของให้ชาวบ้านต่อเรารู้สึกว่าชาวบ้านห้วยลึกเป็นกันเองมากแล้วก็น่ารักมากพวกเขาดีใจที่เรามาเราได้สัมผัสรอยยิ้มและความจิงใจที่ชาวบ้านมีต่อเราและคณะที่มาก่รุ้สึกดีใจมากๆจิงๆและเรายังได้สัมผัสธรรมชาติอากาศบริสุทธิ์บนดอยได้ลองชิมอาหารบนดอยที่ไม่ได้ใช้กระทะหรือใช้หม้อแต่เป็นการย่างหรืการแอ๊บได้รู้จักกับคำว่ามิตรภาพไม่ใช่อย่างในกรุงเทพที่ใส่หน้ากากเข้าหากันตลอดเวลาประสบการณ์ครั้งนี้ได้สอนเราหลายอย่างในการปรับตัวให้เข้ากับพวกเขาได้ขอบคุณที่ได้มาสัมผัสถ้ามีโอกาสอยากจะไปอีกสักครั้ง :) 







กิจกรรมในพื้นที่

1 บาท ของคุณมีค่า เพียงคุณมองเห็นความเป็นคนเท่ากัน การแบ่งปันก็จะเกิดขึ้น
ให้เพื่อนผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ ได้ท้องอิ่ม ได้กลับบ้าน ได้รักษาพยาบาล เป็นต้น
เพราะเราเชื่อว่าการแบ่งปันไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งคนแก่ คนป่วย เด็ก ถูกทิ้งไร้การมองเห็นมากมายในสังคม
1. ธ.ทหารไทย สาขาทองหล่อ เลขที่ 182-2-16241-6 ชื่อบัญชีมูลนิธิอิสรชน
2. ธ.กรุงไทย  สาขาเซ็นทรัลปิ่นเหล้า เลขที่ 031-0-03432-9 ชื่อบัญชีสมาคมสร้างสรรค์กิจกรรมอิสรชน



16 พฤศจิกายน 2556

ความชัดเจน

วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
         วันนี้เป็นวันที่สองของการลงพื้นที่ฝึกงาน วันนี้เราตกลงกับพี่เลี้ยงเราว่าจะเดินไปที่ถนนราชดำเนิน พร้อมคุยกันถึงเรื่องลักษณะของผู้ที่ใช้ชีวิตในที่สาธารณะว่าแบ่งออกได้กี่ประเภทรวมความได้ทั้งสิ้น 13 ประเภท แต่ในวันนี้นั้นเราคุยเจาะจงลงไปแค่บุคคลที่เป็นผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะที่มีอาชีพเป็นพนักงานบริการเพื่อคลายความเครียตให้กับผู้อื่น หรือนั้นคือ Sex worker
          Sex worker หรือ พนักงานบริการ คือ บุคคลที่หาเลี้ยงชีพตัวเองด้วยการบริการทางเพศ ให้บริการทางด้านอารมณ์ จิตใจ โดยแลกกับค่าตอบแทน การเป็นพนักงานบริการอาจเนื่องมาจากเหตุหลายประการ เป็นต้นว่าความยากจนของครอบครัว ความจำเป็นในทางเศรษฐกิจประการอื่น การขาดความรักและความอบอุ่นจากพ่อแม่ การไม่เป็นที่รักและยอมรับของใคร ๆ การได้เห็นตัวอย่างในเรื่องเพศสัมพันธ์ที่ไม่ดีมาแต่เยาว์วัย ความผิดปรกติทางจิตใจเกี่ยวกับเรื่องเพศ การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี โดยมักยืนตามที่สาธารณะ ตามริมถนน บางคนเป็นทั้งคนเร่ร่อนและพนักงานบริการ (อ้างอิงจากหนังสือ การทำงานกับผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ,12)
Sex worker มีช่วงอายุตั้งแต่ 11 – 80 ปี แบ่งได้สองช่วงคือ 1. ช่วงอายุ 11 – 29 นับเป็นช่วงสาวรุ่น 2. ช่วงอายุ 30 – 80 นับเป็นช่วงผู้สูงอายุ แบ่งการจัดพื้นที่การยืนอยู่รอบสนามหลวงอย่างเป็นระเบียบจะไม่มีการล้ำเส้นข้ามพื้นที่กันโดยเด็ดขาด และยังรวมไปถึงผู้ที่มีความหลากหลายทางด้านเพศที่บ้างคนก็มีอาชีพเป็นผู้บริการด้วย ในส่วนรายระเอียดปลีกย่อยที่มากกว่านี้เราขอไม่เอ่ยถึง
         เราได้รู้ถึงวิธีการสังเกตว่ามีวิธีการสังเกตที่กลิ่น เพราะเหล่าพนักงานบริการ จะใช้น้ำหอมกลิ่นเฉพาะ แต่มันกลับทำให้เราต้องหนักใจเนื่องจากเรามีปัญหาทางการรับรู้กลิ่น แยกประเภทกลิ่นไม่ค่อยจะถูก ถ้ากลิ่นไม่ฉุนติดฉมูกจริงแทบจะไม่รู้สึกเลย แต่ไม่เป็นไร เราคงต้องหาวิธีสังเกตอื่นแทน
ส่วนมากแล้วเหล่าพนักงานบริการมักจะไม่เปิดเผยตัวเอง อาจต้องใช้เวลาในการพูดคุยทำความรู้จักเป็นปีเราถึงจะทราบได้ เราจึงต้องใช้วิธีการสังเกตข้างต้นแทน และในบางคนที่มาเป็นพนักงานบริการอาจเป็นผู้ที่มีปัญหาทางจิตรวมอยู่ด้วย หรือเป็นผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ในที่สาธารณะไปในขณะเดียวกัน เพราะฉะนั้น ผู้ที่ใช้ชีวิตในที่สาธารณะหนึ่งคนอาจถูกจัดไว้ได้หลายประเภทด้วยกัน
         หลังจากที่เรานั่งคุยกันถึงเรื่องพนักงานบริการไปได้สักพักแล้วตกลงว่าจะลงพื้นที่ไปคุยกับเหล่าเพื่อนของเราต่อ ก็ได้เกิดเหตุที่มีผู้ชุมนุมเดินขบวนมาทางถนนราชดำเนิน ทำให้การที่เราจะไปคุยกับเพื่อนของเราเริ่มยากขึ้น เพราะเหล่าเพื่อนของเหล่าไม่ชอบคนเยอะ บางคนอาจหนีหายไปแถวอื่น หรือบางคนอาจไปร่วมอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมด้วย เราจึงเดินกลับมาที่สนามหลวงบริเวณคลองหลอดพร้อมกับผู้ชุมนุมที่มีมากมาย และเราก็ได้เจอกับเพื่อนของเรา
         เราได้เจอกับพี่เวชแกเป็นผู้ติดสุรา แกเกิดที่กาญจนบุรี แกเป็นคนภูเขา และในขณะที่คุยกันอยู่ พี่เฉลิมก็เดินมา
          พี่เฉลิม คนเดิมผู้มาจากลำปาง วันนี้แกบอกว่าอยากจะทำบัตรประชาชนใหม่เพราะบัตรเก่าหายไป พี่เลี้ยงเราบอกว่าแกต้องกลับไปที่ภูมิลำเนาเดิมจึงจะสามารถทำบัตรใหม่ได้ แกได้ยินดังนั้นก็บอกว่าไม่อยากกลับไป แล้วแกก็ใช้เราไปซื้อน้ำมาให้หน่อยเนื่องจากขาแกเจ็บเดินข้ามถนนไปอีกฝั่งหนึ่งของคลองหลอดที่มีร้านขายของ 24 ชั่วโมงไม่ไหว เราเลยรับเงินจากแกมาแล้ววิ่งไปซื้อให้แต่พอกลับมาพี่เวชก็หายตัวไปซะแล้ว หลังจากนั้นเราก็คุยถามสารทุกข์สุกดิบกับพี่เวชแล้วขอตัวจากมาปล่อยให้แกไปหาที่พักผ่อนของตัวเอง
เรากับพี่เลี้ยงเดินไปเรื่อย ๆ ก็ไปเจอกับ ลุงคำไข หรือ ลุงไข ลุงไขแกมาจากสุริน อายุ 55 20 พฤศจิกายน นี้ก็ 56 ลูกเมียแกตายหมดแล้ว แกมาอยู่ที่นี่ได้ 4 – 5 เดือน ตอนแรกแกมาอยู่ที่หมอชิตแล้วไปอยู่แถวถนนราชดำเนิน แต่ถูกขโมยกระเป๋าไป ดีที่แกเก็บเงินไว้ที่กระเป๋ากางเกงเงินจึงไม่หายไปด้วย หลังจากนั้นแกก็มาอยู่แถวคลองหลอดสนามหลวงแทน แกยังบอกอีกว่าแกเคยไปอยู่ สถานสงเคราะห์แล้ว แต่มันไม่มีอิสระจะทำอะไรก็ต้องมีกฎ แกเลยมาอยู่ที่นี่แทนดีกว่า
         หลังจากที่เราได้คุยทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ เราพอจะจับจุดได้นิดหน่อยว่า เขาเหล่านี้ ล้วนต้องการเพียงแค่ อิสระ อิสระที่จะได้ทำตามใจตัวเองโดยที่ไม่ต้องถูกใครมาบังคับให้ทำอะไรก็ตามที่ตนเองไม่ชอบ แต่มันก็เป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยที่เราเริ่มจะเห็น มันคงยังต้องใช้เวลาอีกมาก ในการเปิดมุมมองของเราให้ชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิม

เขียนโดย  น้องดรีม นักศึกษาฝึกงาน

3 พฤศจิกายน 2556

มิตรภาพข้างถนน


สมัย..นิยม ผู้เขียน
พูดถึงคำว่า มิตรภาพ หมายถึง มิตรภาพในความเป็นเพื่อนและความเห็นที่คล้ายคลึงกันจะเป็นพื้นฐานของมิตรภาพ 
ฉันได้มีโอกาสได้รู้จักกับเพื่อนคนนึงที่เค้าอยู่ข้างถนน เค้าชื่อ ตุ๊ก ชายหนุ่มที่ใส่เสื้อผ้าหลายตัว ใส่หมวกกันฝน ใส่เสื้อกันหนาวตัวหนาๆ มีกระเป๋าใส่เสื้อผ้าหลายใบ ครั้งแรกฉันได้เจอกับตุ๊กที่สนามหลวงเห็นตุ๊กกำลังยืนสงบนิ่งอยู่กลางสนามหลวงเลยเดินเข้าไปทักทายตอนแรกตุ๊กก็ยังกล้าๆกลัวอยู่ซึ่งเราก็เข้าใจกับการทักทายครั้งแรกตุ๊กอาจจะยังไม่คุ้นชินที่มีคนมาทักทายเค้าและสนใจเค้าหลังจากนั้นฉันก็ได้มีโอกาสไปทักทายตุ๊กทุกวัน ได้เอาขนมติดมือไปฝากได้นั่งกินขนมกับตุ๊ก  มิตรภาพระหว่างความเป็นเพื่อนระหว่างตุ๊กกับฉันก็ได้เกิดขึ้น เรื่องราวที่วนเวียนในหัวของตุ๊ก ตุ๊กเล่าให้ฟังว่าเค้าชอบเล่นกีฬาหลายชนิดและเคยได้เหรียญทองโอลิมปิกแล้วเค้าก็กำลังรอพี่หนุ่ยและเพื่อนนักกีฬาด้วยกันที่จะพาเค้าไปแข่งกีฬาที่โอลิมปิก ตุ๊กยังบอกอีกว่าเค้าเคยฮ.ตกที่ค่ายแห่งหนึ่ง ทุกครั้งที่ฉันจะลุกเดินกลับ ตุ๊กจะพูดกับฉันเสมอว่า ' อย่าลืมนะผมรออยู่ที่เดิม ' มันทำให้ฉันได้คิดว่าตุ๊กกำลังรอใครสักคนนึงอยู่รึป่าว และนี้คือเรื่องราวของมิตรภาพที่ดีของฉันที่อยากจะให้ทุกคนได้อ่าน :) 

3 มิถุนายน 2556

จากคนจรจัด คนเร่ร่อน คนไร้บ้าน สู่ ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธาณะ : วาทกรรมที่ต้องเปลี่ยนเพื่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

           หลายคนคงคุ้นชินกับคำที่ใช้เรียกขานคนจรจัด คนเร่ร่อน และคนไร้บ้าน วิวัฒนาการของคำที่ใช้เรียกผู้คนที่เพียงใช้ชีวิตแตกต่างไปจากคนทั่วไปที่มีที่พักอาศัยที่เรียกว่าบ้าน ... จากเดิมที่เรียกกันอย่างสนิทติดปากว่า คนจรจัด จนเริ่มมีการคิดวาทกรรมใหม่ เพื่อลดแรงเสียดทาน ปรับเปลี่ยนจาก คนจรจัด ที่ ใช้คำเดียวกันนี้เรียกหมาจัดจัดด้วย ?? มาเป็นคำว่า คนเร่ร่อน เพื่อให้ฟังดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาอีกนิดหน่อย จนเมื่อไม่นานมานี้ คำใหม่ วาทกรรมใหม่ ก็เกิดขึ้น คนไร้บ้าน ซึ่งเป็นความพยายามที่จะสะท้อนบอกว่า ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มีเท่าเทียมกัน ต่างกันก็เพียง ที่อยู่ที่กิน อิสรชนเอง พยายามมองและเรียนรู้การใช้ชีวิตของเพื่อนพ้องกลุ่มนี้ อย่างลงลึกและพยายามเข้าถึงให้มากที่สุด จนเมื่อเวลบาผ่านมากว่า 5 ปี คำหนึ่งที่เรา ตั้งใจจะเสนอเป็นวาทกรรมให้คนในสังคมเรียกขานเพื่อนพ้องที่ใช้ชีวิตนอกบ้านว่า ผู้ที่ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ (People living in Public Areas) แทนคำเรียกขานอื่น ๆ ที่เคยใช้มา อาจจะยาวไปหน่อย แต่ มันมีความชัดเจนแบบไม่ต้องอธิบาย อะไรเพิ่มเติม


                การประดิษฐ์วาทกรรมใหม่ อาจจะไม่สามารถปรับเปลี่ยนทัศนคติของคนในสังคมได้ แต่อย่างน้อย ในเวลาที่ผ่านไป มุมมองที่คนทั่วไปมองไปที่ เขาเหล่านั้น ก็น่าจะเกิดความเข้าใจมากยิ่งขึ้น มากกว่า การมองแบบตีตรา พิพากษาแบบที่ผ่าน ๆ มา และผู้ที่เกี่ยวข้อง ก็ใช้โอกาสตรงนี้ เริ่มทำงานอย่างหนักหน่วงและจริงจังเพิ่มมากขึ้น เพื่อสร้างความเข้าใจไปพร้อม ๆ กับ การให้ความช่วยเหลือแบบยั่งยืน เพราะนับตั้งแต่ประเทศไทยเริ่มมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 1 มาจนถึงปัจจุบันเป็นฉบับที่ 11 แล้ว สิ่งหนึ่งที่รัฐไทยล้มเหลวมาโดยตลอดเห็นจะเป็นการให้บริการแก่พลเมืองขั้นพื้นฐานที่เรียกว่ารัฐสวัสดิการ ที่โดยมากรัฐไทยจะมุ่งเน้ไปที่การสร้างถาวรวัตถุต่าง ๆ เป็นสำคัญให้ความสำคัญกับการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ในด้านจิตใจของพลเมืองน้อยมาก แม้ว่าจะมีการปรับตัวในภายหลังแต่ แผนพัฒนาเศรษฐกิจในยุคแรก ๆ ก็ยังเป็นต้นเหตุสำคัญของการก่อตัวของปัญหาสังคมในปัจจุบันอีกเป็นจำนวนไม่น้อย

                รัฐไทยเลือกที่จะจัดรัฐสวัสดิการแบบหยิบยื่นให้เปล่ามากกว่าการจัดรัฐสวัสดิการแบบมีส่วนร่วม จึงทำให้เป็นการสร้างนิสัยที่ไม่พึงประสงค์ให้เกิดขึ้นในสังคมไทย และรัฐไทยเองก็ออกมากล่าวหาพลเมืองของตนเองจากผลงานที่ตนเองได้มีส่วนร่วมทำให้เกิดขึ้นไว้ในอดีต ??

ในยุคใหม่นี้ รัฐไทย และผู้เกี่ยวข้องต้องส่งเสริมการพัฒนาแบบยั่งยืน ไปพร้อม ๆ กันกับ การส่งเสริมการปรับทัศนสังคม ทัศนคติเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ที่ทำงานด้านการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสียใหม่ ให้มองคนอย่างเท่าเทียม มองที่ศักยภาพ ไม่ใช่มองที่ความต่างในพลังอำนาจการต่อรองเท่านั้น มิเช่นนั้น ก็ต้องมีการประดิษฐ์วาทกรรมใหม่ ๆ ขึ้นมาเพื่อหลีกหนีทัศนคติของคนที่มองคนไม่ใช่คนอยู่ร่ำไป

ในสถานการณ์ล่าสุดของสังคมไทย ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ ก็ยังถูกจัดให้อยู่ในระดับล่างสุดของการสร้างความเข้าใจของปัญหาพื้นฐานที่เขาควรจะได้รับ สะท้อนได้จากการปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยการเลือกปฏิบติอย่างรุนแรงเกินกว่าจะให้อภัยได้  ไล่รื้อไม่ให้คนเร่ร่อน คนไร้บ้าน ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ ออกจากพื้นที่ คลองหลอด สนามหลวง แต่ อนุญาตให้ คนอีกกลุ่มหนึ่งเข้าใช้หลับนอนได้โดยไม่มีความผิด ?

6 สิงหาคม 2555

มูลนิธิอิสรชนกับสิ่งที่ทำมาโดยตลอด





มูลนิธิอิสรชน เกิดขึ้นจาก การทำงานของคนตัวเล็ก ๆ ในสังคมที่มุ่งมั่นสม่ำเสมอในการที่จะร้องบอกสังคมให้เห็นคนเท่ากัน มาอย่างต่อเนื่องยาวนาน จนมีผู้ใหญ่ใจดีกลุ่มหนึ่งยอมรับที่มาเป็น คณะกรรมการมูลนิธิ เพื่อให้คำปรึกษา และสนับสนุนการทำงาน ให้ออกสู่สาธารณชนเพิ่มมากขึ้น เพื่อกระจายข่าวสารและเรื่องราวการทำงานออกสู่สังคม เพื่อให้คนทั่วไปหันกลับมามองปัญหาและมีส่วนร่วมในการสนับสนุนการทำงานเพิ่มมากขึ้น

ชายชรายากจนที่ชายหาดบางเสร่
มูลนิธิอิสรชน มุ่งหวังที่จะทำงานจากการบริจาคของคนที่หลากน้าหลายความคิด แต่มีจิตใจและหัวใจที่เปิดกว้างมองเห็นคนยากไร้เป็นคนเท่ากัน ไม่แบ่งแยกสีผิว ชาติเชื้อ ความเชื่อ และอุดมการณ์ทางการเมือง โดยตั้งใจขอรับบริจาคเงินเพียงคนละเล็กคนละน้อย เพื่อนำมาเป็นทุนในการทำงานและดูแล "ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ" ในกลุ่มต่าง ๆ ได้แก่ คนเร่ร่อน คนไร้บ้าน ผู้ป่วยข้างถนน เด็กเร่ร่อน พนักงานบริการอิสระ คนยากไร้ข้างถนน โดยมุ่งเน้นให้เขาสามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติเฉกเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ในสังคมให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

มูลนิธิอิสรชน ทำงานภายใต้ความเชื่อมั่นและมั่นใจว่า คนไทยและคนหลากหลายเชื้อชาติ สามารถช่วยเหลือกันเองได้ เพียงรู้เรื่องราวและตัดสินใจแบ่งปันเงิน ข้าวของและโอกาส โดยที่ มูลนิธิอิสรชน ยินดีเป็นเสมือนสะพานในการเชื่อมโยงสิ่งเหล่านั้นเข้าถึงกัน ท่านสามารถสนับสนุนงบประมาณด้านต่าง ๆ ได้แก่

- ค่าตอบแทนคนทำงาน
- ค่าใช้จ่ายสำนักงาน
- ค่าใช้จ่ายการทำงานภาคสนาม
- ค่าใช้จ่ายพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ยากไร้
และอื่น ๆ ตามที่ท่านเห็นสมควร ซึ่งงบประมาณในการทำงานปกติที่ มูลนิธิอิสรชนใช้จ่ายอยู่เป็นเงินที่มาจากการบริจาค 100 % จากคนที่เชื่อมั่นและติดตามการทำงานของมูลนิธิอิสรชน มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในแต่ละเดือนจะมีรายจ่ายไม่ต่ำกว่า 20,000 บาท ต่อเดือน

ใครอยากทำบุญ ในการทำงานกับผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ ยังต้องการการมองเห็นจากสังคม การสนับสนุนจากสังคม ไม่ว่าจะด้วยแรงกาย การมาร่วมเป็นอาสาสมัคร เพราะเราเชื่อว่าการแบ่งปัน เรียนรู้ ไม่มีที่สิ้นสุด ติดต่อได้ที่ 086-687-0902 ค่ะ สอบถามข้อมูลนิธิอิสรชนหรือ แม้แต่แรงทุน การสนับสนุนการทำงาน
1.สมาคมสร้างสรรค์กิจกรรมอิสรชน เลขที่บัญชี 031-0-03432-9 ธ. กรุงไทย สาขาเซ็นทรัลปิ่นเกล้า หรือ
2. มูลนิธิอิสรชน 182-2-16241-6 ธ.ทหารไทย สาขาทองหล่อ

ย้ำกันก่อนจากชัด ๆ คนอิสรชน  ไม่ใช่คนทำดี เป็นแค่คนที่ทำงานที่ชอบที่รักแล้วมีความสุขเท่านั้นเอง

14 มิถุนายน 2555

ลงพื้นที่





อิสรชนทำงานกับผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ มองเขาว่าเท่ากัน กินเหมือนกัน แต่เขาขาดเพียงโอกาสที่จะเข้าถึงสิทธิที่เขาควรได้รับเท่ากันกับเรา การทำงานตอนนี้ยังเดินหน้าต่อไปคู่กับคนที่ออกมาสู่ถนนเพิ่มมากขึ้น แต่สังคมยังมองผ่านคนกลุ่มนี้เสมอ
เงินเพียงไม่กี่บาทในกระเป๋าท่าน ช่วยต่อยอดการทำงานของเราอย่างต่อเนื่องได้ ท่านสามารถร่วมแบ่งปันไปกับเราได้ที่
1.สมาคมสร้างสรรค์กิจกรรมอิสรชน เลขที่บัญชี 031-0-03432-9 ธ. กรุงไทย สาขาเซ็นทรัลปิ่นเกล้า หรือ
2. มูลนิธิอิสรชน 182-2-16241-6 ธ.ทหารไทย สาขาทองหล่อ
เราเชื่อว่าการแบ่งปันไม่มีที่สิ้นสุด โทร 086-687-0902
 

18 เมษายน 2555

มูลนิธิอิสรชนกับสิ่งที่ทำมาโดยตลอด



มูลนิธิอิสรชน เกิดขึ้นจาก การทำงานของคนตัวเล็ก ๆ ในสังคมที่มุ่งมั่นสม่ำเสมอในการที่จะร้องบอกสังคมให้เห็นคนเท่ากัน มาอย่างต่อเนื่องยาวนาน จนมีผู้ใหญ่ใจดีกลุ่มหนึ่งยอมรับที่มาเป็น คณะกรรมการมูลนิธิ เพื่อให้คำปรึกษา และสนับสนุนการทำงาน ให้ออกสู่สาธารณชนเพิ่มมากขึ้น เพื่อกระจายข่าวสารและเรื่องราวการทำงานออกสู่สังคม เพื่อให้คนทั่วไปหันกลับมามองปัญหาและมีส่วนร่วมในการสนับสนุนการทำงานเพิ่มมากขึ้น

ชายชรายากจนที่ชายหาดบางเสร่
มูลนิธิอิสรชน มุ่งหวังที่จะทำงานจากการบริจาคของคนที่หลากน้าหลายความคิด แต่มีจิตใจและหัวใจที่เปิดกว้างมองเห็นคนยากไร้เป็นคนเท่ากัน ไม่แบ่งแยกสีผิว ชาติเชื้อ ความเชื่อ และอุดมการณ์ทางการเมือง โดยตั้งใจขอรับบริจาคเงินเพียงคนละเล็กคนละน้อย เพื่อนำมาเป็นทุนในการทำงานและดูแล "ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ" ในกลุ่มต่าง ๆ ได้แก่ คนเร่ร่อน คนไร้บ้าน ผู้ป่วยข้างถนน เด็กเร่ร่อน พนักงานบริการอิสระ คนยากไร้ข้างถนน โดยมุ่งเน้นให้เขาสามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติเฉกเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ในสังคมให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้


มูลนิธิอิสรชน ทำงานภายใต้ความเชื่อมั่นและมั่นใจว่า คนไทยและคนหลากหลายเชื้อชาติ สามารถช่วยเหลือกันเองได้ เพียงรู้เรื่องราวและตัดสินใจแบ่งปันเงิน ข้าวของและโอกาส โดยที่ มูลนิธิอิสรชน ยินดีเป็นเสมือนสะพานในการเชื่อมโยงสิ่งเหล่านั้นเข้าถึงกัน ท่านสามารถสนับสนุนงบประมาณด้านต่าง ๆ ได้แก่

- ค่าตอบแทนคนทำงาน
- ค่าใช้จ่ายสำนักงาน
- ค่าใช้จ่ายการทำงานภาคสนาม
- ค่าใช้จ่ายพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ยากไร้
และอื่น ๆ ตามที่ท่านเห็นสมควร ซึ่งงบประมาณในการทำงานปกติที่ มูลนิธิอิสรชนใช้จ่ายอยู่เป็นเงินที่มาจากการบริจาค 100 % จากคนที่เชื่อมั่นและติดตามการทำงานของมูลนิธิอิสรชน มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในแต่ละเดือนจะมีรายจ่ายไม่ต่ำกว่า 20,000 บาท ต่อเดือน


ใครอยากทำบุญ ในการทำงานกับผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ ยังต้องการการมองเห็นจากสังคม การสนับสนุนจากสังคม ไม่ว่าจะด้วยแรงกาย การมาร่วมเป็นอาสาสมัคร เพราะเราเชื่อว่าการแบ่งปัน เรียนรู้ ไม่มีที่สิ้นสุด ติดต่อได้ที่ 086-687-0902 ค่ะ สอบถามข้อมูลนิธิอิสรชนหรือ แม้แต่แรงทุน การสนับสนุนการทำงาน
1.สมาคมสร้างสรรค์กิจกรรมอิสรชน เลขที่บัญชี 031-0-03432-9 ธ. กรุงไทย สาขาเซ็นทรัลปิ่นเกล้า หรือ
2. มูลนิธิอิสรชน 182-2-16241-6 ธ.ทหารไทย สาขาทองหล่อ

27 มีนาคม 2555

The hunger for a home

Chularat SaengpassaThe Nation March 22, 2012 1:00 am

นั่งพูดคุยกับ Case ที่สะพานพุทธ พิการนั่งรถเข็น อยู่สะพานพุทธมากว่า 30 ปี
Two questions to ask Bangkok's street people: |Why are you here? Is this where you want to stay?
The sight of an obviously homeless person on a city street naturally evokes feelings of sympathy, but often you might also get the sense that person is exactly where he wants to be. Maybe you're right to feel that way too - but not in most cases.
A meek and scruffy man sits on the lawn of Sanam Luang with the proud and polished Temple of the Emerald Buddha a stark contrast in the background. In his tatters and beard he looks dauntingly crazy, but turns out to be quite friendly.
He remembers growing up playing basketball in Phetchaburi. Then his parents died and left him Bt80,000, and he came to Bangkok in search of something - but he's long since forgotten what it was.
On his first night in the capital he got drunk and someone stole all that money.
The man on the lawn resells bits of things he finds in the trash and is trying to save up enough money to get back to Phetchaburi. His immediate responsibility is "guarding" a woman who's stretched out nearby, sleeping off a boozy night.
Somyot Phurayong, who patrols the area for the city, came by on a motorcycle and assigned him the task. Somyot's thankless job is clearing the royal ground's footpaths of homeless loiterers, especially first thing in the morning and at noon.
His superiors wouldn't appreciate the scene at the moment. The homeless have reclaimed newly refurbished Sanam Luang.
Phetcharat, a former boxer who's lived in a tent near Khlong Lod for 10 years, is paid in meals to serve as watchman for shop owners. He has no money at all and says "disgrace" prevents him from returning to his home province.
"Granny" Panchana is snoozing under a tree, but soon she'll wake up and splice more rope to sell at Khlong Lod Market.555 โดนท่านแม่ใต้สะพานปิ่นเกล้า หอมแก้ม
This is how Kasem Chantawong spent 40 years of his life. He came to Bangkok from Ratchaburi looking for his brother but couldn't find him, so he ended up wandering around, earning money as a garbage scavenger and attending merit-making ceremonies as far away as Ayutthaya to cadge the free give-aways.
"But I never begged," he wants to stress. "All those years I wanted to return home, but I never had any money." In any event, he'd lost track of his seven siblings. Only recently did the welfare-minded Issarachon Foundation track down his aunt's daughter. She was willing to take him in.
"Homeless people don't 'love their freedom' as much as the general public believes," says foundation secretary general Natee Soravaree. "They're usually ready to go home and settle into a new life if we can help."
Natee also recently helped a 60-year-old woman return home to Buri Ram. She'd left when she was 17, deserted by her husband, who was also her brother. She had a baby and then took off, finding work in Bangkok as a prostitute.
Natee spent a year gaining her trust. Once he has someone's trust, he can ascertain their identity and verify their story. He's often given fake names, either in deliberate lies born of fear or in delirium born of stress. He's seen many homeless people die as "John Doe" or "Jane Doe", impossible to identify.
But in five years the foundation has helped about 300 people find new lives. Getting them a new ID card is like reinstating their existence.
The patience that Natee musters to slowly win the confidence of the people he's trying to help is sometimes rewarded, sometimes not. He's been cruelly kicked. He's also been helped in turn, as when an old man guarded his camera equipment when Natee unexpectedly nodded off on the grass himself.
"Those who don't want to return home refuse to share any information with us," he says. "They think that if society doesn't regard them as human, they might as well be ghosts, surrendering everything.
"But many homeless people dream of returning to their original homes, just to regain some dignity, if they only had Bt5,000 or Bt10,000."
On more than a few occasions the destitute homeless turn out to have come from wealthy families. "What happened that drove them away? Do they love freedom that much? No!" Natee insists. "Our mission is to find out what pushed them out. You can't just assume they love 'freedom' and then ignore the real problems they're facing."
A recent foundation survey found the number of street people increasing steadily in Bangkok, 110 more last year than there were in 2010. Last year they counted 2,561 people, of whom 1,630 were male.
Every day Kasem roamed about Sanam Luang clutching a bag of clothes, his sole possession. He spent the days under shade trees. In the evenings he was allowed to sit in front of food shops, but the occasional handouts didn't fill his stomach. He washed when he could.
After the government's Welfare and Social Development Department initiated assistance for street nomads five years ago, Kasem was persuaded to accept shelter at the Mitrmaitree Home. "They asked me nicely to come here," he says, still a little amazed. "Before, all they wanted to do was arrest me!"บ้านมิตรไมตรีกรุงเทพ นำของมามอบให้เด็กน้อยที่เพิ่งเกิด
His relative was tracked down and he was issued a new ID card. Kasem was glad to reunite with his remaining family - the cousin and her husband - but within three days he decided he was too much of a burden for them. Their income wasn't much. So he returned to the Mitrmaitree Home, where he helps with the cleaning and gardening.
The facility is only for people under 75, however, so Kasem is going to have to leave soon. In the meantime, though, his cousin has built a small house for him and he'll have an elderly allowance deposited in the bank. He thinks he can also get a job as a supervisor at a local mushroom farm.
"I never paid attention to the funny looks I got from passers-by - if they wanted to stare, so what?" he says of the street life. "But all the time I dreamed that one day, when I had some money, I'd build my own home."
That dream has been fulfilled, in a roundabout way, and Natee hopes that more understanding and help is coming for others like Kasem, the homeless folks whose numbers will only continue growing without it.

12 มีนาคม 2555

ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ : พลเมืองที่ได้เวลามองเห็นเขา

         หลังจากที่มูลนิธิเปิดเผยข้อมูลที่ได้จากการทำการสำรวจแบบปูพรมเต็มพื้นที่ในเขตกรุงเทพมหานครไป จนทำให้สังคมเกิดความตื่นตัวช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ในการหันมาให้ความสนใจกับประเด็นปัญหาดังกล่าว แต่เรื่องราวดังกล่าวกำลังจะได้รับการลืมเลือนและหายเข้าไปในสายลมร้อนในอีกไม่ช้า เพราะคนไทยจำนวนมากยังไม่ตระหนักว่าปัญหาการเพิ่มจำนวนขึ้นของผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะเกี่ยวข้องอะไรกับตนเอง ?


กรุงเทพมหานครมหานครที่มีเชื่อเสียงระดับโลก ที่เป็นศูนย์รวม ศูนย์กลางของการบริหารหลายสิ่งหลายอย่าง ที่มีสถานที่สำคัญของสามสถาบันชาติตั้งอยู่ มีพระบรมมหาราชวัง มีรัฐสภา มีศาลฏีกาสูงสุด มีกระทรวง ทบวง กรม ต่าง ๆ รวมกันอยู่ที่นี่ และในขณะเดียวกันกับที่มีสิ่งเหล่านี้อยู่ กรุงเทพมหานคร ก็มีคนรากหญ้ารากฝอย อยู่ในที่แห่งเดียวกันนี้ด้วย ?? แทบทุกพื้นที่ของที่สาธารณะในเขตเมืองหลวงแห่งนี้จะคราคร่ำไปด้วยผู้คน ที่ได้รับการขนานนามจากนักวิชาการ จากภาคราการ จากสื่อมวลชน จากคนทั่วไป ไปต่าง ๆ นานา คนเร่ร่อนบ้าง คนไร้บ้านบ้าง คนเร่ร่อนไร้บ้าน ไปจนถึงบางคนเรียกว่าคนจรจัด ?? เราเองก็ใช่ย่อยพยายามสร้างวาทกรรมใหม่ที่เวลาแปลออกมาเป็นภาษาอังกษดันไปถูกตาต้องใจเข้าว่า ผู้ที่ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ ..
แบ่งปันด้วยนอบน้อม
ไม่ว่าจะเรียกขานเขาอย่างไรก็ตาม เชื่อหรือไม่ว่า คนกลุ่มนี้ ไม่เคยได้รับการเหลียวแลเอาใจใส่อย่างจริงจัง หรือ ปฏิบัติกับเขาเหมือนคน ๆ หนึ่งที่มีสิทธิ์มีเสียงเท่ากับคนอื่น ๆ แต่กลับได้รับการยัดเยียดความช่วยเหลือผ่านมาตรการที่รัฐเป็นคนคิดค้นการให้ความช่วยเหลือขึ้นมาเอง ไล่ตั้งแต่ การไล่กวด กาวดจับ ไล่ต้อนมาลงทะเบียน จับขึ้นรถ พาไปอยู่ที่ ๆ เรียกกันว่า สถานสงเคราะห์คนไร้ที่พึงบ้าง บ้านกึ่งวิถีบ้าง และที่สำคัญที่กล่าวถึงเรื่องนี้ทีไรอดที่จะกล่าวถึงไม่ได้ คือการจับแยกคน แยกครอบครัวออกจากกัน พ่อไปทาง แม่ไปทาง ลูกไปทาง อ้างว่าเพื่อง่ายต่อการดูแล แต่ ไม่นึกถึงความเป็นครอบครัว

บางครั้งก็น้อยใจแทนเขาเหมือนกันเมื่อดูภาพข่าว คนในสังคมทุกระดับ ทุกชนชั้น ไปช่วยเหลือคนไทยในที่อื่น ๆ แต่กลับลืมคนที่อยู่แค่ปลายจมูก คนที่ เวลามีขบวนเสด็จขับผ่าน สนามหลวงหรือคลองหลอด จะชะเง้อมองพนมมืออย่างเคารพบูชาสุดเศียรสุดเกล้า หรือขบวนบุคคลสำคัญในรัฐบาลคนอื่น ๆ ผ่าน ก็จะ ยืนตัวตรงแสดงความเคารพ โดยที่ ไม่เคยมีใครรับรู้หรือเหลียวมองคนกลุ่มนี้เลยแม้แต่น้อย แต่ในขณะเดียวกัน หากมีงานอะไรสำคัญ ๆ ที่ต้องใช้พื้นที่สาธารณะต่าง ๆ ในเขตกรุงเทพมหานคร คนกลุ่มนี้ จะเป็นกลุ่มแรก ๆ ที่จะต้องมีการจัดการให้ ออกไปจากพื้นที่ที่เขากินอยู่หลับนอนเติบโตที่นี่ ?? เพียงเพื่อจัดฉากต้อนรับแขก ?? หรือ เมื่อใดพ่อเมืองกรุงเทพมหานคร อยากจะแสดงผลงาน แสดงพละกำลังแสดงอำนาจ การประกาศจัดระเบียบพื้นที่สาธารณะดูจะเป็นสีสันแรก ๆ ที่ พ่อเมืองแต่ละคน จะลงมือทำอย่างไม่ค่อยจะรีรออะไร ??
และเมื่อย้อนกลับมาพูดถึงงานอาสาสมัครที่จะหาคนลงมาทำงานแบบจริงจังไม่ฉาบฉวย ยิ่งหายากกันเข้าไปใหญ่ เพราะ เมืองหลวงแห่งนี้ ไม่มีภูเขาสูง ๆ ให้นั่งถ่ายรูปมาอวดเพื่อน ไม่มีอากาศดีดี ไม่มีเสียน้ำตก ไม่มีป่าไม้ ที่จะมีแรงดึงดุดพอจะให้คนที่อ้างจิตอาสามาทำงานกับพวกเขา มีเพียง ซากอารยะธรรมที่ ความเจริญกระแทกจิตวิญญาณของคน ๆ หนึ่งที่หอบหิ้วความหวังมาจากแดที่ห่างไกลออกไป มาพบความพ่ายแพ้ที่นี่ หรือบางคนก็ หนีความซ้ำซากจำเจจากความเจริญทางวัตถุที่บ้านที่จากมา มาหาความจริงใจ รอยยิ้มจากเพื่อนพ้องที่กินและนอนด้วยกันที่ข้างถนน มีแต่กลิ่นขี้กลิ่นเยี่ยวตลบอบอวลไปทั่ว แต่ที่มีอย่างหนึ่งที่ คนในเมืองที่ไม่เคยมาที่สนามหลวงจะไม่มีโอกาสได้สัมผัส คือ ความเงียบสงบ ลมเย็น ๆ เมื่อนั่งกลางสนามหลวง ใครจะเชื่อว่า เมื่ออยู่กลางสนามหลวง บรรดาเสียงรถยนต์ ที่วิ่งกันขวักไขว่ จะมีเพียงเสียงแว่ว ๆ แถมยังมีลมเย็น ๆ ที่พัดมาเป็นระยะ ๆ ให้ได้หลับได้นอนอย่างมีความสุข ???

จะมีซักกี่คน ที่ใช้เส้นทางผ่านสนามหลวงคลองหลอดบ่อย ๆ จะหยุดรถ แล้วลงเดินมาทักทาย พลเมืองไทย ประชาชนอีกกลุ่มที่ อยู่ในประเทศเดียวกันกับเรา เพื่อให้ได้รับรู้กันและกันว่า ต่างฝ่ายต่างยังมองเห็นกัน ไม่ได้ลืมเลือนกันไป ???
ใครที่พอมีเวลา หนึ่ง หรือสองวัน ในแต่ละสัปดาห์ โดยเฉพาะวันอังคารและวันศุกร์ เวลาตั้งแต่ 13:00 น. เป็นต้นไปจนถึง 17.00 น.หรือวันไหนจะมีการลงพื้นที่ภาคกลางคืน อาจจะแวะมาที่คลองหลอด มาพบกับอาสาสมัครกลุ่มเล็ก ๆ ที่ยังลงมาเรียนรู้ด้วยความสุขและสนุกในสิ่งที่ทำกันมาอย่างต่อเนื่องยาวนานหลายปี แล้วคุณเองอาจจะค้นพบความหมายอะไรบางอย่างของเมือง ของประเทศนี้ ที่คุณเคยเชื่อว่า คนด้อยโอกาสจะอยู่ในที่ ที่ห่างไกลความเจริญอย่างเมืองหลวงแห่งนี้เพียงเท่านั้น
ก่อนนอนวันนี้ คุณลองมองออกไปที่นอกหน้าต่างบ้านของคุณสิว่า ยังมีใครที่ต้องนอนขดตัวใต้ผ้าผืนเก่า ๆ ขาด ๆ หรือไม่ และถ้าคุณมีผ้าห่มของคุณเองที่คร่ำคร่าแล้ว คุณไม่ต้อทิ้งหรอก เช้าวันรุ่งขึ้น แค่ พับผ้าผืนนั้นแล้วเดินเอาไปให้เขา เท่านี้ คุณก็สร้างความสุขให้สังคมร่วมกับเราได้แล้ว มันไม่ได้ยาก แต่ อยู่ที่ว่า เริ่มแล้วหรือยัง ??

คำถามแรกที่ อยากถามสังคมกลับ คือ คุณรู้ไหมว่ามีคนที่ออกมาใช้ชีวิตในที่สาธารณะ ...... ?

คำตอบที่เจอคือรู้ รู้แล้วอย่างไร ก็แค่รับรู้ ไม่ได้เกี่ยวข้อง แต่คุณรู้ไหมว่าสิ่งที่คุณมองว่ามันไม่ได้เกี่ยวข้องนั้น ถ้าวันหนึ่งของในครอบครัวคุณ ออกมาอยู่ในที่สาธารณะ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด  ๆ ก็ตาม เช่น ความจำเสื่อม มีอาการทางจิต หรือต้องหายออกจากสังคม ที่เขาเคยอยู่ เคยเป็น เคยมี คุณจะตามหาไหม หรือเพียงแค่รับรู้เฉลย 
คาดว่า ขอทาน เขมร ตลาดนัดแถว ๆ สำนักงานเขตคลองสามวา
หลายคนบอกว่า คนเหล่านี้ รักอิสระ ? ในความเป็นจริงมันจริง ๆ หรอ คำว่า "รักอิสระ"เป็นคำที่สังคมยัดเหยียดให้เขาเองหรือเปล่า พอตัดสินเขาเองว่าเขารักอิสระ ไม่ชอบมีกฏเกณฑ์ พอมีนักข่าวลงมาสัมภาษณ์ คนที่อยู่ในที่สาธารณะก็จะบอกทันทีว่า รักอิสระ เพราะไม่อยากตอบคำถามให้มาก เท่านั้นแหละจบ นักข่าวก็จะไม่ถามต่อ ก้กลายเป็นว่า รักอิสระ คนเหล่านี้รักอิสระ แต่สุดท้ายที่เราอิสรชนลงพื้นที่ใช้เวลากว่า 10 ปี ในการทำงานในพื้นที่ ที่เรียกว่า เขาเป้นเหมือนญาติ เหมือนเพื่อน ที่เขาพร้อมพูดคุยกับเราได้ทุกเรื่อง เอาเข้าจริงไม่มีใครเลยรักอิสระ 

อย่างลุงชัยพร ที่จบป.โท จากเมืองนอก มาเร่ร่อนที่สนามหลวง ที่เพิ่งลงข่าวไทยรัฐ ดูเหมือนว่าสุดท้ายบทสรุปคือรักอิสระ อยู่คนเดียว เข้ากับใครไม่ได้ แต่จริง ๆ พอลึกลงไป คือปมปัญหาครอบครัว ที่ทำให้เขาสุดท้ายก็ไม่กลับสู่ครอบครัว ที่กลับไม่ได้ มันไม่เหมือนเดิม ถึงแม้จะเจอลูก เจอญาติ แต่ก็ไม่เหมือนเดิม คนที่ออกมาใช้ชีวิตในที่สาธารณะ ทุกคน ย้ำว่าทุกคนมีปม ที่ทำให้ตนต้องออกมาจากบ้าน ภาวะการกดดันจากครอบครัว ความคาดหวัง การกดทับ ในสังคมครอบครัว จนกลายเป็นสังคมชุมชน ทำให้คนคนหนึ่งต้องทำตัวหายสาบสูญ ไม่มีตัวตนในสังคมดีกว่า 

มาต่อด้วยการดื่มเหล้า ทุกคนมีปัญหาดื่มไหม โดยส่วนใหญ่ดื่ม ก็ไม่ต่างกัน คุณดื่มไวน์ราคาเป็นแสน กับเหล้าขาวราคา 40 บาท ก็เมาเหมือนหมาเช่นกัน แต่อาจจะเมาคนละทีคนละทาง หรือบางที คนรวยก็มาเมากับคนข้างถนน เพราะออกจากร้านมาเจอกัน คุยกันถูกคอ ในเมื่อประเทสยังขายเหล้าก็คงตัดสิ้นคนจากการดื่มไม่ได้หรอ เขาไม่มีเพื่อน เหล้าก็คือเพื่อน กินเพื่อลืม กินเพื่อนอนให้ได้ในข้างถนน ต่าง ๆ นานา 

คำถามต่อมา คุณเคยเห็นเขาบ้างไหม ..... 
 

สิ่งที่ อิสรชนอยากให้คุณเห็นคือ เห็นว่าเขาคนที่ออกมาใช้ชีวิตในที่สาธารณะ เป็นคนเท่ากันกับเรานี้แหละ มี 32 เท่ากัน มีสิทธิความเป็นคนเท่ากัน แต่สิ่งที่เขาไม่มีคือ เขาไม่มีเสียงที่จะเรียกร้องสิทธิ หรือเรียกร้อง บอกกล่าว หรือรับรู้ ในสิ่งที่เขาควรได้ตามสิทะิของเขา เช่น ยามเจ็บป่วย ตัวมอมแมม ไม่อาบน้ำ สถานพยาบาลส่วนใหญ่ด่านแรกก็ไม่รับและ ไล่กลับ ด่า มองว่าเป็นคนบ้า เพียงเพราะอะไร เพราะทัศนคติ ที่ตัดสินคนจากภายนอก หลายคนคงเคย ถ้าคุณแต่งตัวบ้าน ๆ ไปในที่หรูหรา หรือแค่สถานพยาบาล สถานราชการ ก็ถูกมองแต่หัวจรดเท้า แต่ถ้าแต่งอย่างหรูหรามีระดับ คุณจะเป็นเทวดาทันที การเลือกปฏิบ้ติมีทุกที  เมื่อเร็ว ๆ พยาบาลท่านหนึ่งจากจุฬาฯ ลงมาในพื้นที่ มาพูดคุย อึ้งว่าทำไหม สนามหลวง เหมือนมีบริการ ที่ครอบวงจร แต่ไม่มีหน่วยสถานพยาบาลใด ๆ ลงมาเลยสักครั้ง แต่ละเดือน มีคนตายข้างถนน ที่สังคมไม่เคยรับรู้เลย เฉลี่ยเดือนหนึ่งอย่างน้อย 1-2 คน ตายไม่ได้ตาย เพราะตัวตาย แต่กลายเป็นนาย นาง ไม่ทราบชื่อ ถูกเป็นศพไร้ญาติ แต่ตามทะเบียนบ้านก็ยังมีชื่ออยู่ วันดีคืนดี ชื่ออาจถูกสวมสิทธิ เป็นปัญหาระดับชาติ ทางความมั่นคง แต่ทุกรัฐบาลก็มองข้าม เพียงเพราะนักการเมืองเหล่านี้เข้าใจว่า คนเหล่านี้ ไม่มีสิทธิมีเสียง แต่ทุกครั้งคนเหล่านี้มีโอกาส เขาได้ทำบัตร เขาก็จะใช้สิทธิเสมอ แต่คุณก็มองเขาเสมอ อืม.... สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นเพียงเรื่องราวส่วนหนึ่ง ที่เรามาเล่าสู่กันฟัง แต่ยังมีเรื่องราวอีกมากมายในพื้นที่ พร้อมบอกต่อให้สังคมรับรู้ แค่ปลายจมูกที่มองว่าสวยงาม แต่ถูกกลบไว้ ทั้งที่ข้างในเป็นซิลิโคนที่เน่าเฟะ 

สิ่งที่อิสรชนอยากจะบอกก็คือ มนุษย์ ทุกคนอยู่หได้เพราะมีเพื่อนเท่านั้น ความเป็นเพื่อนจะทำให้คนคนหนึ่งกล้าที่จะยืน กล้าที่จะเดิน เพราะเขารับรู้ไม่ได้อยู่คนเดียว แต่คุณมีเพื่อนที่อยู่กับเขา จำไว้ ว่าเพื่อน สำคัญที่สุดในการทำงานและการดำรงชีวิต สุดท้ายนี้ อิสรชนก็ต้องการเพื่อนจากสังคมในการแบ่งปัน เพื่อในเพื่อนอย่างอิสรชน ได้ทำงานเป็นเพื่อนกับคนข้างถนน ให้เขามีเพื่อน มีสิทธิที่เขาควรได้รับ ในฐานะเพื่อนมนุษย์ที่เท่ากันในสังคม


ท้ายสุดก่อนที่ลาจากกันไป ย้ำเตือนให้ทราบถึงสถานการณ์ที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นในอนาคต ที่ต้องเผชิญ คือ การเปิดประชาคมอาเซียนและการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ ที่ยังมีปัญหามากมายรอคอยอยู่ข้างหน้า ทีสังคมต้องร่วมไม้ร่วมมือกันคือการสร้างกลไกภาคประชาสังคม ในการเฝ้าระวังปัญหาให้อยู่ในขอบเจตที่ควบคุมได้ ภาครัฐเองก็จำเป็นต้องเร่งเดินเครื่อง พระราชบัญญัติคุมครองคนไร้ที่พึ่งออกมาโดยเร็วที่สุดเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการสร้างกลไกการทำงานเชิงบูรณาการกับทุกภาคส่วนเพื่อดักปัญหาล่วงหน้ามากกว่าวิ่งไล่ตามปัญหา แบบที่ผ่าน ๆ มาในอดีต
ตลาดมีนบุรี
เราเชื่อว่าการแบ่งปันไม่มีที่สิ้นสุด
1. สมาคมสร้างสรรค์กิจกรรมอิสรชน เลขที่บัญชี 031-0-03432-9 ธ.กรุงไทย สาขาเซ็นทรัลปิ่นเกล้า หรือ
2. มูลนิธิอิสรชน 182-2-16241-6 ธ.ทหารไทย สาขาทองหล่อ เราเชื่อว่าการแบ่งปันไม่มีที่สิ้นสุด โทร 086-687-0902

7 มีนาคม 2555

เสียงสะท้อน....ที่อยากให้คุณได้อ่าน


 ·
        
          จากการลงพื้นที่ และทำงานกับผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะมากว่า 5 ปี จากคำกล่าวที่คนเรียกคนไม่เป็นคนว่า "คนจรจัด" จนติดปาก แต่กลับเรียกช้างว่าช้างเร่ร่อน แต่จัดประเภทคนไปอยู่ร่วมกับหมา เรียกอย่างกดทับเพราะเวลาเรียกหมาก็ "หมาจรจัด" จนอิสรชนพยายามให้สังคมเปลี่ยนวาทกรรมใหม่ที่มองเห็นความเป็นคนของเพื่อนมนุษย์ คือ ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ จนปัจจุบันคนเริ่มคุ้นชินและใช้กันมากขึ้น ถือเป็น นิมิตรหมายที่ดี 
        วันนี้พบCase นอนป่วยที่สวนหย่อมริมคลองหลอด ได้ประสานงานส่งต่อบ้านมิตรไมตรี กรุงเทพมหานคร ต้องขอขอบคุณบ้านมิตรไมตรีกรุงเทพมหานครที่ช่วยประสานส่งต่อเข้ารับการรักษา สังคมรับรู้ไหมว่ามีคนนอนป่วยริมถนน 2 เดือนที่ผ่านมาตายไปแล้ว 4 ราย เป็นศพไม่มีญาติตายข้างถนน   
        จากคำถามที่ว่าทำไมคนเหล่านี้ ไม่ไปหาหมอ เขาไปแต่ไปทุกครั้งจะถูกปฏิเสธทุกครั้ง บางทีเจ้าหน้าที่โทรเรียกรถพยาบาล ยังไม่มารับ บางรายพาไปส่งถึงโรงพยาบาลก็ต้องไปนั่งทะเลาะกับฝ่ายสังคมสงเคราะห์ เพราะไม่มีเงินนั้นไม่เท่าไหร่ แต่ต้องยอมรับว่าบางรายไม่มีบัตร บัตรหาย แต่ด่านแรกของการรับคนไข้ ก็จะมีทัสนคติการมองด้วยสายตา การว่า พูดจาไม่เพาะ ดูถูก เพราะการแต่งตัวที่สกปรก แค่เราคนธรรมดาไปหาถ้าซื้อของติดไม้ติดมือไปฝาก จะได้บริการอย่างเทวดา บางวันแต่ตัวธรรมดาก็ถูกมองด้วยสายตา มันคือความเคยชินไปเลย ทำให้คนที่สนามหลวงกลัวการไปหาหมอ ไม่ใช่เพราะกลัวหมอ แต่กลัวทัศนคติที่กดทับและแบ่งชนชั้นความเป็นคน เขาจึงไม่ไปหาหมอ ต้องจ็บใกล้ตายพอเราเจอทัน คนช่วยกันเรียกรถพยาบาลถ้าไม่มาก็ต้องพาส่งเอง บางรายเจอช้าไป พาส่งไม่ทันก็เสียชีวิต หรือไปเสียชีวิตเมื่อรถไปถึงโรงพยาบาล มันคือความจริงที่สังคมไม่มีทางรับรู้เพราะไม่ได้ถูกถ่ายทอดออกไป
           น่าอนาจกับสังคมนี้ที่ร้องไห้กับอะไรไม่รู้แต่รู้สึกสะใจหรือเพิ่งเฉยถ้ามีคนตาย หรือบางทีไม่รับรู้เลยด้วยซ้ำ สนามหลวงคลองหลอด สองเดือนที่ผ่านมาตั้งแต่เริ่มต้นปี 2555 คนสนามหลวงเสียชีวิตไปแล้ว 4 ราย โดยสังคมาไม่ได้รับรู้ ก็กลายเป็นศพไร้ญาติทั้งที่ความเป็นจริงมีญาติ แต่ไม่มีบัตร ณ เวลาตาย ไม่สามารถระบุได้ ว่าเป็นใคร ก็ต้องเอาไปฝังรอ 20 ปีล้างป่าช้า นำมาเผา คนตายก็ไม่ได้ตายตามสิทธิของทะเบียนราษฏร์ ซึ่งเป็นการง่ายต่อการสวมสิทธิในอนาคตถ้าคนนี้หาสาบสูญ ละครน้ำเน่าอย่างไรชีวิตคนที่ออกมาอยู่ข้างถนน แต่ละรายน้ำเน่ากว่านั้น 
           วาทกรรมที่ว่าเขารักอิสระ อิสรชนค้นพบว่ามันเป็นเพียงเกาะกำบังคนถามมากกว่านี้ั คนทุกคนออกมาอยู่ข้างถนน ไม่ได้รักอิสระ แต่เป็นด้วยสาเหตุที่เขาพบเจอซึ่งแตกต่างกันไป แต่พอเขาตอบสื่อ ตอบคนที่มาถามว่ารักอิสระ คนจะไม่ถามต่อและตัดสินเขาทันที อิสรชนทำงาน พบว่าคนทุกคนอยากกลับบ้าน แต่ทำไมถึงกลับไม่ได้ นี้แหละคือคำถามที่เราต้องหาและช่วยต่อจิ๊กซอให้แต่ละคนและก็จะพาเขากลับบ้านได้ 
            ณ วันนี้เราอิิสรชนขอเพียงการมองเห็นจากสังคมว่าเห็นเขาเท่ากันกับเรา มี 32 เท่ากัน มีความเป็นมนุษย์เท่ากัน ไม่ใช่มองเขาเป็นสัตว์ ที่เวลาขับรถผ่านเลื่อนกระจกมองเหมือนสิ่งประหลาด 
        วันเสาร์ที่ 3 มีนาคม ระหว่างเวลา 18.00-23.00 น. มูลนิธิอิสรชน ลงสำรวจพื้นที่ ตั้งแต่ แยกวิสุทธิกษัตริย์ ใต้สะพา่นปิ่นเกล้า เจดีย์ขาว สนามหลวง คลองหลอด ตรอกสาเก หลังกระทรวง บ้านหม้อ สะพานพุทธ แยกบ้านแขก โดยมี ดร.โสภณ พรโชคชัย นำทีม Sopon Pornchokchai Winnie Mbas JasMin Jaja เหม-มะ-พัด บุน-ย้อย-หยัด นที อิสสรชน สรวารี    การทำงานของอิสรขนไม่ว่าจะช่วยเหลือเบื้องต้นในปัจจัยสี่ การฟื้นฟู การพัมนาตนเอง ฝึกอาชีพ ส่งกลับบ้าน ทุกอย่างอิสรชนยังดำเนินงานภายใต้การสนับสนุนจากประชาชน แต่ด้วยสภาวะบ้านเมือง ณ ปัจจุบัน เศรษฐกิจที่อยู่ในขั้นของการฟื้นฟู ผู้บริจาคหลายท่านขออนุญาตถอนตัว ด้วยงบประมาณของตนเองไม่เพียงพอ จึงทำให้ สองเดือนที่ผ่านมาอิสรชนต้องทำงานระดมทุนอย่างหนัก และพยามยามเสนองานเข้ากระทรวง แต่ก็ยังไม่มีเสียงตอบบรับ แต่วันนี้การทำงานยังต้องเดินหน้า ไม่สามารถหยุดได้ เพราะปัญหาต่าง ๆ ยังไม่ได้รับการมองเห็นอย่างจริงจังร่วมแบ่งปันทุน แบ่งปันกำลังใจในการทำงาน กันได้นะค่ะ 1.สมาคมสร้างสรรค์กิจกรรมอิสรชน เลขที่บัญชี 031-0-03432-9 ธ.กรุงไทย สาขาเซ็นทรัลปิ่นเกล้า หรือ 2. มูลนิธิอิสรชน 182-2-16241-6 ธ.ทหารไทย สาขาทองหล่อ เราเชื่อว่าการแบ่งปันไม่มีที่สิ้นสุด มาเป็นอาสาสมัครเรียนรู้ร่วมกับเรา แลกเปลี่ยนร่วมกับเราได้ โทร 086-687-0902 

อนาจใจกับรัฐในยุคนี้เหลือเกิน รัฐกำลังทำไรอยู่ คนเร่ร่อน คนไร้บ้าน ที่หนัก คือผู้ป่วยข้างถนน ที่นับวันยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้น สถานสงเคราะห์ก็ไม่เพียงพอต่อการรองรับ รพ.ก็มีข้อจำกัด ล่าสุดที่ไปคุยและเยี่ยม Case ที่รพ. นักสังคมฯทำได้ดีที่สุด คือยื้อเวลาให้มาก บางรายตายที่รพ.ก็มี เพราะไม่สามรถตามญาติได้ มีอาการป่วยทางจิต สื่อสารไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ทำไม รัฐไม่มองมาเห็นบ้าง

คนสนามหลวงเอารั้วเหล็ก มาทำบ้านนอนริมคลองหลอด เพื่อกันฝน

สารคดี งานอิสรชน

1 มีนาคม 2555

ISSARACHON FOUNDATION

ISSARACHON FOUNDATION
                Issarachon Foundation, a non-profit organization in Thailand, has been active in organizing activities related to HIV/AIDs since 1996. Originating as a voluntary group namely “Issarachon Group”, it later evolved to “Issarachon Activities Center” in 2000, “Issarachon Association of Innovative Activities” in 2005, and recently “Issarachon Foundation” in 2011.
During the past 15 years, the organization has contributed to campaigns on prevention of HIV/AIDs in crowded communities both in Bangkok, Thailand’s capital city, and Bangkok outskirts; target groups have included beneficiaries who are basically difficult to reach such as youth in observation centers, youth in orphanages, vagabonds, homeless people, street/ park sex workers as well as newly released people from correction centers who live in public sites of cities. Additionally, activities have incorporated outreaches to campaign on prevention of HIV/AIDs in various regions i.e. Roi-Et, Udon Thani (northeast), Chiang Mai, Chiang Rai, Nan (north), Samut Sakhon, Samut Songkram (Bangkok outskirts), etc.
During 1996 – 2002, main activities were focused on campaigns on the prevention of HIV/AIDs within communities having inflicted patients and knowledge on how to take care of patients living in crowded communities in Bangkok.
During 2002 – present, emphasis has been shifted to target groups which appear to be difficult to reach in public areas; main campaigns have been placed on their self protection together with awareness building on responsibilities for themselves and toward the whole society.
Efforts in Making Acquaintance with Street Sex Workers
Firstly, the Foundation staff built up acquaintance, then evolved to trust among street sex workers, staff introduced themselves and their purposes, then gave out condoms; target groups would check whether condoms were for free, what days staff would visit them, etc. Later on target groups became acquainted and trust enough to seek advocacy on their health or other issues. 


Participation of Street Sex Workers and Other Volunteers
The Foundation has placed emphasis on empowering individuals of target groups to be able to take care of themselves while eager to help each other since one day the Foundation may have to discontinue such assistance/ visit.
Operational Approach
  1. 1.              Networking
Issarachon Foundation has naturally fostered networking among beneficiaries at each site (local level), then linking the networking of the local level to the community, regional, and national levels. Activities have included seminars on corresponding issues; sometimes public media has been utilized for fostering and maintaining the networking.
  1. 2.              Aids Education Mobile Service (AEMS)
AEMS has been carried out concurrently with the Foundation’s main activity which focuses on wanderers and homeless who live in public areas in big cities throughout the country. Campaign content incorporates prevention of HIV/AIDs, beneficiary’s rights under the Constitution to get access of public services, and channels to acquire clinical services from both public and private agencies.
Originally, every evening the Foundation staff used to walk through target areas (Sanam Luang and Klong Lord) with backpacks full of condoms and other teaching aides to make their mission become materialized. In 2007, a philanthropist donated a vehicle for their routine work; this has facilitated more frequency of visits at target sites both in Bangkok and other provinces (2 visits per week at each site). Each AEMS visit comprises provision of advice and knowledge on HIV/AIDs, self protection as well as other issues; visit hours extend from 15:00 to 23:00 hrs.

 Innovation
AEMS enables the Foundation staff to reach and provide services to more needy individuals at more frequency of time due to less limited constraints on distance and timing. As a complete unit, AEMS serves as a mobile library, theatre, and a collection of campaign supplies i.e. mascots, games, etc.


 



Impact Assessment
-         99.98% of street sex workers at Sanam Luang, Klong Lord and adjacent sites are confident to disclose themselves to get access to services of the Foundation.
-         Percentage of HIV/AIDs infection previously stood at 30% has declined to 15% owing to awareness on self protection and knowledge on how to use condoms.
Contact information.
• Contact information for two references who are well informed about the activities of the group or organization and who may be contacted by the selection committee. 
  1. Mrs.Juntavipa    Apisuk   President of Empower Foundation  
  2. Dr.Sopon    Pornchokchai  President of Thai Appraisal Foundation Tel 6689-922-9899
• Nominator :  Natee  Saravari
For the four people above, please supply the following information:
Name     : Mrs.Wilaipan    Luangya             Position    : Vice President            Organization  : ISSARACHON  FOUNDATION
Street Address  : 72  Watsukjai 12 Saikhongdi  Khongsamwa            City/Town  :        Bangkok               Postal Code :       10510
Province or state  :            Bangkok               Country :              Thailand               Telephone  : 6681-684-4645
Fax         :               001-662-943-0690             Email     :  Expo2513@hotmail.com
Website (if available)   :  www.issarachon-homeless.blogspot.com