25 กุมภาพันธ์ 2558

ผูกพันและพันผูก

               ลมหนาวปีมะแมมาพร้อม ๆ กับ ความรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงกับความมั่นคงในการที่จะก้าวต่อไปบนเส้นทางการทำงานอาสาสมัคร ที่ได้เคยลั่นวาจาไว้ว่าสามารถหล่อเลี้ยงชีวิตได้เฉกเช่นอาชีพอื่น ๆ ที่เขาทำกันในโลกนี้ น่าแปลกใจที่ในเมืองไทยการทำงานอาสาสมัคร หากยิ่งลงลึกในการทำงาน แล้วตั้งหน้าตั้งตาทำไปโดยไม่สนใจจะบอกกล่าวใครต่อใครว่ากำลังทำอะไรกันอยู่ไม่นาน คนทำงานคนนั้น ก็จะถูกเวลาและสภาพปัญหากลืนกินและหานไปในที่สุด ใจกลางเมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานคร มีปัญหาสังคมที่ร่วมอยู่กับคนเมืองอย่างกลมกลืนจนบางทีหลายต่อหลายคนอาจจะชินชากับสิ่งที่พบเห็นจนไม่คิดว่าสิ่งนั้นเป็นปัญหาไปแล้วก็มี คนไร้บ้าน คนเร่ร่อน ที่ พักอาศัยอยู่ตามสถานที่สาธารณะต่าง ๆ ในเขตกรุงเทพมหานคร คนที่ใช้ชีวิตแบบคนมีบ้าน ที่อาจจะดูมีความสุขกว่าคนที่มีบ้านเป็นหลัง ๆ อยู่ด้วยซ้ำไป ภาพการแสดงความรัก ภาพการอยู่ร่วมกัน สรวลเสเฮฮาสมัครสมานสามัคคีเอื้ออาทรกันในหมู่พวกของเขากันเอง ดูแล้วให้น่าอิจฉา เพราะเมื่อมองย้อนมาที่คนอย่างเรา ๆ ที่มีบ้านอยู่เป็นหลัง ๆ มีข้าวของเครื่องใช้ครบถ้วยสมบูรณ์ บางคนมีมาเกินความจำเป็นด้วยซ้ำไป แต่กลับไม่มีความสุขทางใจ รอยยิ้มที่แทบจะหาไม่ได้ในสังคมที่มีแต่การสวมหน้ากากเข้าหากัน เราสามารถพบเห็นได้จากคนไร้บ้าน คนเร่ร่อน 




     สนามหลวง เป็นอีกที่หนึ่งที่คนไร้บ้าน คนเร่ร่อน คนพเนจร จะแวะเวียนผ่านมาพำนักอาศัย บ้างก็ใช้เป็นที่พักผ่อนนอนหลับเพียงชั่วข้ามคืน ก็จะเดินทางต่อไป บางคน ก็ยึดเอาเป็นเรือนนอน เช้ามาก็ ออกทำมาหากิน ค่ำมาก็ ล้อมวงกินข้าวพูดคุยกัน และบางคน ก็ อยู่กันเป็นครอบครัว ตกดึกหน่อยก็มีกิจกรรมภายในครอบครัวกันกลางสนามหลวง ภาครัฐและหลาย ๆ หน่วยงาน หลายองค์กร ที่มองปัญหาแบบคนนอกมองเข้าไป ก็ จะสรุปมาตรการเพียงทางเลือกเดียว คือ ต้องกำจัด ต้องไล่ออกจากพื้นที่ เพียงเพราะข้ออ้างที่ฟังแล้วก็งง ๆ คือ “เขตพระราชฐาน” “โบราณสถาน” “พื้นที่ทางประวัติศาสตร์” มาจนถึง “ที่สาธารณะ” ?? ความพยายามอธิบาย และนำเสนอแนวความคิดที่ น่าจะเปิดโอกาสให้คนอยู่ในพื้นที่ได้โดยเกื้อกูลและดูแลสถานที่ ที่เขาอยู่เขานอน เหมือน ๆ กับ การที่ชาวบ้านในชนบทสามารถอยู่ร่วมกับป่าได้ แนวคิดนั้นก็น่าจะนำมาใช้กับคนไร้บ้านกับพื้นที่สาธารณะได้เช่นกัน



     ผ่านการทำงานในพื้นที่ การทำงานแบบอาสาสมัคร มานานกว่า 15 ปี อาสาสมัครที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปนับร้อย นับพันคน แต่ปัญหาก็ยังไม่ได้รับการคลี่คลายและบรรเทาเบาบางลงไป ในทางกลับกันดูหมือนจะยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นตามจำนวนประชากรและการเคลื่อนย้ายแรงงานด้วยซ้ำไป ??? บอกตามตรงบางทีก็ใจหายที่ วันหนึ่งอาจจะต้องถึงเวลาปิดฉากการทำงานลงแบบไม่สวยงามมากนัก เพียงเพราะ ไม่มีเงินจะทำงานต่อ มันดูโหดร้ายนะ แต่ ก็ต้องยอมรับสภาพความเป็นจริงว่า เรา ทำได้เต็มที่แล้วเพียงเท่านี้ เราจริงใจ และจริงจังกับการทำงานมาโดยตลอดแล้ว ท้ายสุดเมื่อสังคมมองไม่เห็นว่าสิ่งที่เราทำเป็นประโยชน์ และ ไม่มีแรงสนับสนุนเขามาให้เราได้มีโอกาส กระจายความเท่าเทียมในสังคม เราก็ต้องยอมรับความจริง ความผูกพันกับงานที่ทำมาโดยตลอด 10 ปี ถ้าถามว่ามีมั้ย ตอบได้แบบไม่ต้องใช้เวลาคิดนาน ว่า มี และก็มีมากเสียด้วย แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง ก็ต้องยอมรับความเป็นจริง อย่างที่บอกไว้แล้วข้างต้น 



     ท้ายสุดนี้ คงต้องขอเวลาเตรียมทำใจซักช่วงหนึ่ง ก่อนที่จะ กลับไปเป็นคนว่างงานที่เหมือนโดนมัดมือมัดเท้าให้ว่างงาน ทั้งที่ ยังมีแรงใจ แรงปัญญา และพลังสมอง ในการทำงานเพื่อคนด้อยโอกาสอยู่อีกมากก็ตาม ได้แต่หวังว่า หลังจากนี้ไปคงมีคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ ทีมีเรี่ยวแรงและพลังรวมถึงแนวคิดที่จะทำงานเพื่อคนด้อยโอกาสเกิดขึ้นอีกมากมาย และสังคมจะเห็นความสำคัญในการทำงานกับคนด้อยโอกาสและสนับสนุนให้เขาได้ทำงานตามที่เขามุ่งมั่น อย่าได้ต้องมาล้มเหลวและล้มเลิกแบบที่ กำลังจะเกิดขึ้น กับ คนทำงานเล็ก ๆ ที่เหมือน หิ่งห้อย ที่หาญกล้าท้าแสงตะวันที่ท้ายสุดก็ต้องตายเพราะหมดแรงในที่สุด