ในสังคมที่มีแต่ความวุ่นวายแย่งชิงดีชิงเด่นกันและในยุคของทุนนิยมที่เทคโนโลยีทันสมัยเจริญก้าวหน้า ยังมีคนอีกกลุ่มนึงที่ถูกสังคมตีตราว่าพวกเค้าเป็นคนที่สกปรกน่ารังเกียจซึ่งคนในสังคมเรียกพวกเค้าว่าคนเร่ร่อนคุณเคยเห็นและรับรู้ไหมว่ายังมีพวกเค้าอยู่ในสังคมคำว่า ' คุณเห็นเค้ามั้ย ? " หมายความว่า คุณเห็นเค้ารึเปล่าที่นอนอยู่ตามข้างถนน หรือนอนอยู่ใต้สะพาน คุณเคยคิดที่จะช่วยหรือแบ่งปันพวกเขาบ้างรึเปล่า พวกเขาไม่ได้ขอให้ใครมาสงสารหรือเห็นใจพวกเขาแต่อยากให้เห็นว่า ' เขาก็เท่ากับคุณ ' ที่นี้อิสรชนใช้คำเรียกพวกเขาว่า ' เพื่อน ' เพราะเราเป็นเพื่อนกันมีอะไรก็แบ่งปันกัน อยากให้สังคมลองปรับทัศนคติต่อพวกเขาเหล่านี้ใหม่ ลองเปิดใจและลองแบ่งปันโอกาสให้กับเพื่อนในสังคมแค่นี้สังคมเราก็จะน่าอยู่มากขึ้น
26 ตุลาคม 2556
16 ตุลาคม 2556
12 ตุลาคม 2556
โรงเรียนข้างถนนกับเรียนรู้ชีวิตคนเร่ร่อน
สัปดาห์ที่ 2แล้วของฉันที่ได้ลงพื้นที่พูดคุยเรียนรู้ชีวิตของคนเร่ร่อน ฉันได้เข้าไปพูดคุยกับพี่เคราที่ใช้ชีวิตที่คลองหลอดสนามหลวงมานานเกือบ 10 กว่าปี ' พี่เคราเล่าว่าการดำรงชีวิตอยู่หรือการใช้ชีวิตของคนที่นี้ ก่อยู่แบบง่ายๆ ไม่ได้เลือกกิน หิวก่ไปขอข้าววัด หรือไม่ก่หาของเก่าหรือเก็บขวดขายเพื่อที่จะได้เอาเงินมาซื้อข้าวกิน แต่ถ้าหากวันไหนไม่มีก่หาตามถังขยะกินเพื่อประทังชีวิตให้อยู่รอดในวันต่อไป ส่วนการนอนพี่เคราเล่าว่า ' บางทีก่ไปอาศัยนอนอยู่ป้อมตำรวจเพราะว่ามันทำให้รู้สึกปลอดภัยอีกทั้งก่เฝ้าป้อมตำรวจเอาไว้ด้วย หรือดัดแปลงจากแพงเหล็กที่กั้นนำเชือกมาผูกทำเป็นที่นอนส่วนตัวและนำผ้าใบมากางไว้ข้างบนเพื่อเป็นการป้องกันฝนเวลาฝนตกก่จะได้ไม่เปียก เคยมีคำถามจากพี่จะจ๋าว่า ถ้าหากกรุงเทพเกิดแผ่นดินไหว น้ำท่วมใหญ่ เกิดสึนามิ เราจะเอาตัวรอดได้ไหม คำตอบฉันของฉันคือ คิดว่าต้องตายแน่ๆ แต่พี่จะจ๋าก่บอกว่ารู้มั้ยคนที่จะอยู่รอดก่คือคนเขาเหล่านี้ละเพราะพวกเขาไม่ได้เลือกกินไม่ได้เลือกอยู่ โรงเรียนข้างถนนแห่งนี้ได้สอนให้ฉันรู้กับการใช้ชีวิตของคนเร่ร่อนที่ถึงแม้ว่าพวกเค้าจะไม่ได้มีความเป็นอยู่ที่สุขสบายกว่าพวกเราแต่พวกเขาก่อยู่ได้และยังสอนมิตรภาพในความเป็นเพื่อนให้กับฉันอีกด้วย :)
10 ตุลาคม 2556
ข้อเสนอและขั้นตอนการทำงานให้การช่วยเหลือผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ
มูลนิธิอิสรชน
และ สมาคมสร้างสรรค์กิจกรรมอิสรชน
เคยเสนอรูปแบบและขั้นตอนการทำงานกับผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะไปแล้วได้แก่
- การลงพื้นที่สำรวจข้อมูล
- การสร้างความคุ้นเคยเบื้องต้น
- การคุยกลุ่มย่อยในพื้นที่
- การคุยกลุ่มย่อยนอกพื้นที่
- การทำประชาคมเพื่อระดมความคิดเห็นในพื้นที่
- การให้บริการพื้นฐานเฉพาะหน้า
- การออกหน่วยให้คำปรึกษาแบบเคลื่อนที่เร็ว
- การตั้งหน่วยบริการให้คำปรึกษาแบบประจำจุด
โดยที่ทั้ง 8 ขั้นตอนในการทำงานหัวใจสำคัญอยู่ที่การเป็นคนช่างสังเกต มองเห็น ด้วยความสงสัยใคร่รู้ เพื่อนำไปสู่การแสวงหาคำตอบที่จะเป็นหนทางในการให้การช่วยเหลือผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะได้อย่างถูกต้องตรงความต้องการของแต่ละกลุ่มเป้าหมายและสภาพปัญหาที่แต่ละคนเผชิญ
อนึ่งภาษาที่ใช้ในการสื่อสารกับผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะในระดับแรกต้องใช้ภาษากายก่อน
ด้วยการส่งสายตาและรอยยิ้มรวมถึงท่าทีที่เป็นมิตร
จากนั้นจึงใช้คำทักทายที่เป็นกันเองภาษาง่าย ๆ ถ้าสามารถสื่อสารภาษษท้องถิ่นเดียวกันกับเขาได้จะยิ่งเป็นการกระชับเวลาในการสร้างความคุ้นเคยได้เร็วขึ้น
ทุกครั้งที่เข้าพื้นที่เพื่อทำงานกับผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะสิ่งหนึ่งที่จะขาดไม่ได้เลยสำหรับ
ผู้ปฏิบัติงานภาคสนาม คือ กระเป๋า ย่าม หรือเป้สะพาย ที่ภายในนั้นจะมีอุปกรณ์การทำงานในเบื้องต้นได้แก่
ยาสามัญประจำบ้าน และชุดปฐมพยาบาล รวมไปถึง ขนม ถุงยางอนามัย ยาทากันยุง
หนังสือการ์ตูนหรือหนังสืออ่านเล่น บางครั้งอาจจะมีเกมแบบพกพา
เพื่อนำไปใช้ในระหว่างการสนทนาพูดคุยเก็บข้อมูลเบื้องต้น
ความรวดเร็วและความไวต่อปฏิกิริยารอบข้างรอบตัวในพื้นที่เป็นสิ่งสำคัญ
ผู้ปฏิบัติงานต้องตั้งใจฟังการพูดคุยของผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะเพื่อเก็บประเด็นสนทนาที่อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งในแต่ละราย
โดยเฉพาะข้อมูลจำเพาะส่วนตัว หรือข้อมูลที่มีความสำคัญในการเชื่อมโยงเพื่อนำไปสู่การให้ความช่วยเหลือในกรณีส่งกลับครอบครัว
ชุมชน ที่เขาจากมา
ประการสำคัญที่สุดของการทำงานภาคสนามกับ
ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ คือ การรักษาความลับของเจ้าของข้อมูล
การเปิดเผยจะสามารถทำได้ในกรณีเดียวคือการประชุมคณะทำงานเพื่อแสวงหาทางเลือกในการให้ความช่วยเหลือเป็นรายกรณี
หรือการส่งต่อข้อมูลไปยังหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ความช่วยเหลือในขั้นตอนต่อไป
ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ : พัฒนาการการทำงาน
เมื่อพูดถึงผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะเชื่อว่าหลายคนยังไม่คุ้นชินกับคำ ๆ นี้ เพราะส่วนมากยังหลงวนอยู่ในวาทกรรม “คนเร่ร่อน” “คนไร้บ้าน” หรือแม้กระทั่งยังติดบ่วงคำว่า “คนจรจัด” อยู่ด้วยซ้ำไป ทั้งที่ในความเป็นจริงยังมีหลากหลายชีวิตที่อยู่ในที่สาธารณะ ทั้งที่โลดแล่นอยู่ด้วยนิยามความหมายที่ว่า “โดยสมัครใจ” หรือ “รักอิสระ” ทั้งหมดนั่นเป็นเพียง การให้นิยามที่ตัดความรำคาญเมื่อถูกรุกไล่เพื่อซักถามจาก “คนนอก” มากจนเกินความพอดีที่จะอดทนสนทนาอยู่ได้.....
จากการคลุกคลีในพื้นที่อย่างต่อเนื่องจนแทบจะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตในที่สาธารณะ
ทำให้ค้นพบความหลากหลายของสรรพชีวิตในที่สาธารณะจนจำแนกแยกแยะออกมาได้ 10 กลุ่ม เมื่อราวปลายปี 2553ซึ่งได้แก่ คนเร่ร่อน ,ผู้ติดสุรา ,คนที่ใช้ที่สาธารณะในการหลับนอน
,ผู้ป่วยข้างถนน ,คนจนเมือง
,คนไร้บ้าน ,เด็กเร่ร่อนและครอบครัวเร่ร่อน
,คนเร่ร่อนไร้บ้าน ,พนักงานบริการอิสระ
และผู้พ้นโทษ และจากากรทำงานอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ เราพบว่ายังคนอีกอย่างน้อย 3 กลุ่มอยู่ในพื้นที่สาธารณะทั่วประเทศเพิ่มขึ้นอย่างน่าสนใจ ได้แก่ นักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ ,เพื่อนบ้านแถบอาเซียน
และผู้มีความหลากหลายทางเพศ
ประเด็นที่น่าสนใจกับสถานการณ์ดังกล่าวคือ ตั้งแต่ปี 2552 เป็นต้นมา
หน่วยงานภาครัฐเริ่มปรับตัวในการให้บริการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป
หลังจากมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ที่มีการระบุในรัฐธรรมนูญเป็นครั้งแรก
ที่ระบุให้รัฐต้องมีนโยบายในการดูแลกลุ่มคนที่ยากไร้ไร้ที่พึ่งไม่มีอาชีพและที่อยู่อาศัยอย่างเป็นรูปธรรม
ดังนั้นในส่วนของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
จึงออกแบบการให้บริการพลเมืองในกลุ่มที่ตกหล่นจากการรับสวัสดิการของรัฐในรูปแบบของ
“ศูนย์คนไร้บ้าน” ที่ต่อมา
ได้มีการปรับรูปแบบการให้บริการ เน้นการทำงานทั้ง รุกและรับ
อีกทั้งยังมีการพัฒนารูปแบบการให้บริการที่หลากหลายมีเอกลักษณ์แตกต่างกันออกไปในแต่ละภูมิภาค
ภายใต้ชื่อ “บ้านมิตรไมตรี”
บ้านมิตรไมตรี ในระยะเริ่มแรกเปิดเพียง 4 บ้านในระยะแรก และเพิ่มเติมเป็น 5 บ้านในระยะ 2 ปีแรก หลังจากปี 2554 เป็นต้นมา บ้านมิตรไมตรี ขยายงานออกในส่วนภูมิภาคทั้งสิ้น 10 บ้านได้แก่ กรุงเทพมหานคร ,ชลบุรี
,นครราชสีมา ,ขอนแก่น
,อุบลราชธานี ,พิษณุโลก
,เชียงใหม่ ,นครศรีธรรมราช
,สงขลา และภูเก็ต โดยในแต่ละบ้าน
ได้สร้างอัตตลักษณ์ในการทำงานได้อย่างชัดเจนและตรงความต้องการ และสภาพปัญหาของแต่ละพื้นที่
อีกทั้งยังมีแนวโน้มการพัฒนารูปแบบการทำงานอย่างไม่หยุดนิ่ง
ในขณะที่ฟากขององค์กรพัฒนาเอกชนเองที่กลับหยุดนิ่งในการพัฒนารูปแบบการทำงานเพื่อนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตของ
ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ ส่วนใหญ่ยังหลงวนอยู่กับงานประจำของตัวเอง
สาละวนกับการเรียกร้องในเรื่องเดิม ๆ ที่ยังมองไม่เห็นการต่อยอดในการพัฒนา
หรือการบูรณาการในการทำงานที่เป็นรูปธรรม ไม่มีข้อเสนอใหม่ ๆ
ที่จะนำไปสู่การพัฒนารูปแบบการให้บริการที่สอดคล้องและเหมาะสมกับสภาพของปัญหาและความต้องการที่ในแต่ละกลุ่มของ
ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ มีแตกจต่างกันออกไป
มูลนิธิอิสรชน และ สมาคมสร้างสรรค์กิจกรรมอิสรชน
ได้รับการสนับสนุนงบประมาณได้เดินสายถอดบทเรียนการทำงานของบ้านมิตรไมตรีและสถานสงเคราะห์คนไร้ที่พึ่ง
ที่ตั้งอยู่ทั่วประเทศ โดยการสุ่มสำรวจและสอบถามพูดคุย
ถอดบทเรียนการทำงานของภาครัฐ จนสามารถจัดทำ “คู่มือการทำงานกับผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ” และกระตุ้นให้บ้านมิตรไมตรี 10 แห่ง
คิดค้นรูปแบบการทำงานที่แต่ละบ้านเผชิญอยู่ในแต่ละพื้นที่
และมีแน้วโน้มที่จะนำไปสู่การทำงานในรูปแบบใหม่
ที่ภาครัฐปรับตัวมีการทำงานนอกเวลาราชการในระดับพื้นที่เพิ่มมากขึ้น
มีการสร้างความคุ้นเคยกับ ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ ในแต่ละจังหวัดเพิ่มมากขึ้น
มีกระบวนการนำไปสู่การสร้างฐานข้อมูล
เพื่อให้เกิดการจัดสรรงบประมาณในการทำงานให้สอดคล้องกับขนาดของปัญหาในแต่ละพื้นที่
โดยเกือบทั้งหมด เกิดจากการสอบถามจากความต้องการของ ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ
กลุ่มต่าง ๆ ที่เป็นผู้รับบริการเองโดยตรง และยังมีการผลักดันพระราชบัญญัติคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง
พ.ศ. .. ที่เป็นกฎหมายสำหรับสนับสนุนการทำงานกับผู้รับบริการกลุ่มนี้เป็นการเฉพาะ
จากสถานการณ์ดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ณ วันนี้ ภาครัฐ โดยเฉพาะ บ้านมิตรไมตรี สำนักบริการสวัสดิการสังคม
กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นหน่วยงานภาครัฐที่เริ่มทำงานเชิงรุกและรับ
รวมถึงการเตรียมความพร้อมในการออกกฎหมายเพื่อสนับสนุนการทำงานอย่างเป็นรูปธรรมและเป็นระบบ
อย่างครบวงจร ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องจับตามองกันต่อไปว่า
หากมีการจัดการอย่างเป็นระบบและมีการพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ของปัญหานี้ แล้ว ปัญหา ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ
จะสามารถคลี่คลายตัวเองลงได้บ้างหรือไม่อย่างไร
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)