23 พฤศจิกายน 2556

เรื่องราว 2 วัน ของผม

เขียนโดย น้องดรีม นักศึกษาฝึกงาน 

วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
            วันนี้ในที่สุดก็ล่วงเลยเข้าสู่อาทิตย์ที่สองของการฝึกงาน นับได้เป็นวันที่สี่แล้วสำหรับการทำงานลงพื้นที่ภาคสนาม ก่อนที่จะเข้าเรื่องว่าวันนี้ทำอะไรมาบ้างนั้น เราจะมาใมห้รายระเอียดเกี่ยบกับผู้ที่ใช้ชีวิตในที่สาธารณะอีกกลุ่มหนึ่ง นั้นก็คือ “คนเร่ร่อน” อธิบายได้ดังนี้
            คนเร่ร่อน คือ บุคคลที่ออกมาใช้ชีวิตในที่สาธารณะหรือบนท้องถนนเป็นที่อยู่อาศัย มักจะอยู่ตามจุดต่าง ๆ เช่น สนามหลวง สะพานพุทธ หัวลำโพง หมอชิต สวนลุมพินี ใต้ทางด่วนหรือใต้สะพานต่างๆ สถานที่อยู่ของคนเร่ร่อนจะอิงอยู่กับแหล่งหากิน เช่น สถานีรถโดยสาร ตลาด และแหล่งท่องเที่ยวสาเหตุที่คนออกมาเร่ร่อน สาเหตุพบว่ามาจากการตกงาน ปัญหาครอบครัว ความพิการไม่สามารถดูแลตนเองได้ เร่ร่อนตามพ่อแม่และชอบใช้ชีวิตอิสระ (อ้างอิงจากหนังสือ การทำงานกับผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ,11)
วันนี้ทั้งวันเราเดินไปทั่วทั้งสนามหลวง และท่าพระจันทร์ จากนั้นก็นั่งเรือข้ามฟากไปที่วังหลัง ระหว่างทางที่เดินผ่านก็คอยสังเกตุหาดูเผื่อจะพบเพื่อนของเรา แต่ถ้าหากไม่เจอก็นับว่าโชคดี แสดงว่าอาจจะไม่มีผู้ที่ใช้ชีวิตในที่สาธารณะเพิ่มขึ้น หรือแค่เขาเหล่านั้นไม่ได้มาอยู่แถวนี้
            เราเดินกับพี่เลี้ยงเป็นเวลาค่อนวันจึงเดินย้อนกลับทางเดิน และขึ้นเรือข้ามฟากกลับมาที่วังหลังเพื่อจะมาดูที่ท่าพระจันทร์ และสนามหลวงอีกครั้ง ในที่สุดเราก็เจอเพื่อนของเรานั่งอยู่ประปรายที่บริเวณท่านพระจันทร์แถว ๆ ริมทางเท้า เราได้เข้าปคุยทักทายกับเขา แม้บางเพื่อนบางคนอาจจะยังกลัวที่อยู่ ๆ ก็มีคนมาคุยกับเขา แต่เราก็พยามที่จะทำความรู้จักคุ้นเคย เพื่อที่จะคุยกับเข้าได้อย่างราบรื่น แต่มันก็ต้องใช้เวลาค่อยเป็นค่อยไป
            คนเดินขายหนังสือพิมพ์ ผู้ที่อาศัยอยู่โดนเดี่ยวที่สะพานควาย พี่คนนี้แกเป็นคุยที่คุยกับเราอย่างเป็นมิตรที่สุดสำหรับวันนี้ พี่แกเล่าว่า แกเที่ยวเร่ขายหนังสือพิมพ์บริเวณนี้มาเป็นเวลานานแล้วเห็นจะยี่สิบสามสิบปีได้ ตั้งแต่หนุ่ม ๆ เลยล่ะ แกได้กำไรวันละสามร้อยอาจจะมีมากกว่านั้นบ้างแต่ก็ไม่เกินสี่ร้อยบาท แกใช้ชีวิตคนเดียวในบ้านเช่า ชีวิตแกเลยไม่ต้องการอะไรมากกว่านี้ นอกจากสิ่งที่ได้ทำ การเป็นนายตัวเอง ทำเท่าไหนได้เท่านั้น นับเป็นความสุขเล็ก ๆ ของแกเอง
            งานวันนี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไรมาก ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการเดินเสียมากกว่า เดินไปในหนทางของผู้ที่ต้องการจะศึกษาถึงวิถีชีวิตของผู้ที่ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ และนำมาเผยแพร่ให้กับสังคมได้รับฟังต่อไป

วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
            วันนี้เป็นวันที่ห้าของการฝึกงานภาคสนาม และวันนี้ยังเป็นการอยู่ประจำพื้นที่รถโมบาย เริ่มการทำงานของวันเหมือนวันก่อน ๆ คือการทักทายถึงเพื่อนของเรา ทั้งผู้ที่ติดสุรา หรือ ผู้ป่วยข้างถนน และนี่คือ อีกหนึ่งกลุ่มของผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ในที่สาธารณะ “ผู้ป่วยข้างถนน”
ผู้ป่วยข้างถนน คือ ผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมที่พลัดหลงออกจากบ้านมาใช้ชีวิตในที่สาธารณะจนกลายสภาพเป็น “คนเร่ร่อน” ทั้งนี้ยังรวมถึง “คนเร่ร่อนไร้บ้าน” ที่มีอาการผิดปกติทางสมองหรือทางจิตด้วย (อ้างอิงจากหนังสือ การทำงานกับผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ,12)
       โดยรวมแล้ว เพื่อนที่เราพบเจอในแต่ละวันของการฝึกงานที่ผ่านมา ส่วนมากล้วนแต่จัดอยู่ในกลุ่มคนเหล่านี้  นับเป็นประสบการณ์อีกแบบหนึ่งที่ปกติแล้วคงจะไม่ได้พบเจอง่าย ๆ  เป็นแน่ เพราะอยู่ดี ๆ คงไม่มีคนเข้าไปคุยกับคนเมาหรือผู้ป่วยทางสมองเหล่านี้แน่ ๆ และการจะคุยให้รู้เรื่องก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก เราต้องถามเขาบ่อย ๆ ในสิ่งที่เขาพูดออกมา ถามย้ำซ้ำเดิม และนำเรื่องที่เขาเล่าในแต่ละครั้งมาเทียบดูเพื่อหาเรื่องที่จริงที่สุด เราต้องไม่เบื่อและหน่ายไปก่อน กับเนื้อความที่เขาเล่าออกมาที่ส่วนมากจะเป็นน้ำมากกว่าเนื้อ มีเพียงบางส่วนที่เป็นความจริง เขาอาจจะโกหกเรา หรือแค่จำความไม่ได้ก็เท่านั้นเอง เราจึงต้องพยายามเข้าไปพูดคุยกับเขามาก ๆ หมั่นทักทายถามสารทุกข์สุกดิบ คุยเรื่องเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ตลอดไปในการฝึกงานครั้งนี้ เพื่อหาความจริงที่ซ้อนอยู่ในคำลวง
          วันนี้เป็นวันที่ยังมีผู้ที่ใช้ชีวิตในที่สาธารณะเข้ามาใช้บริการของรถโมบายอยู่ไม่ขาดสาย และวันนี้เราก็ได้เจอกับพี่กอล์ฟอีกครั้งหลังจากที่แกหายหน้าหายตาไปนาน เราถามแกว่าแกหายไปไหนมา คำตอบที่ได้รับพร้มรอยยิ้มร่าเริงของแกคือ แกก็เก็บขวดขายไปเรื่อย ไปตามพื้นที่อื่นที่ไม่ใช่ในสนามหลวงพร้อมเมามายไปในแต่ละวัน และวันนี้แกก็เมามาอีกเช่นเคย
        วันนี้เรายังได้เจอกับพี่เวช พี่เวชยังคงเป็นเช่นเหมือนวันก่อน ๆ ยังคงเมาเหล้า พูดจาเรื่อยเปื่อยเสียงดังพร้อมกับร้อยยิ้มเสมอ ๆ เราอาจจะต้องดุแกบ้าง ว่าทำไหมแกถึงกินเหล้าอีกแล้ว (ดุได้เฉพาะบางคนที่ดุได้ เพราะหากดูไม่ดี เราอาจจะเป็นฝ่ายที่หน้าเขียวแทน) บางครั้งก็แซวแกในเรื่องของความรักที่แกออกหัก แกมีวลีเด็ดในเรื่องนี้ที่ชอบพูดประจำคือ “ฉันรักเขา แต่เขาไม่รักฉัน แต่ฉันไม่สนใจเพราะฉันรักเขา” มันดูเป็นความรักที่ไม่ซับซ้อนอะไรเหมือนคนเมืองผู้ปกติ
         เรายังได้เจอประสบการณ์แปลกใหม่อีกอย่างคือ ผู้ป่วยข้างถนนคนหนึ่ง ตอนแรกเราก็นึกว่าแกเป็นคนปกติธรรมดา ที่เข้ามาพูดคุยอะไรด้วย แต่พอคุยไปสักพักเริ่มแปลก ๆ เพราะแกบอกว่าแกเคยเป็นมือปืนบ้างล่ะ ร้องเพลงเพราะร้องเพลงให้เราฟัง แต่ก็ร้องไม่จบเพลง และเปลี่ยนเรื่องไปเรื่อย พร้อมกับบอกลาว่าจะกลับ แล้วทำการเขย่ามือเราอยู่ถึงสี่ห้ารอบวนเวียนไปมาอยู่อย่างนี้ บางทีก็บอกว่า “เอ็งน่ะมันเด็กน้อยนัก กูน่ะต่อยมานับต่อนับ” ทำเอาเราหวาด ๆ อยู่เหมือนกันว่าจะโดนต่อยเอาแบบงง ๆ หรือเปล่า แต่ก็ทำใจดีสู่เสือยิ้มสู้ พูดครับ ๆ บอกแกว่าแกบอกว่าจะกลับเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้ว พร้อมกับระวังระแวงมองมือของแกไปด้วยว่ามีทีท่าแปลก ๆ หรือเปล่าจะได้หลบทัน และภายหลังจากที่ผู้ป่วยข้างถนนคนนี้ได้เดินจากไปแล้ว พี่จ๋าแกก็บอกว่าเวลา เจอเรื่องแบบนี้ ให้ดุไปได้เลย แม้เราอาจจะกลัว แต่เราทำหน้าที่แบบนี้ก็ต้องจัดการให้อยู่หมัด เพราะเขาก็จะเกรงเราอยู่ในทีเหมือนกัน
         วันนี้ยังมีประสบกาณ์ใหม่ ๆ อีกอย่างที่เราประทับใจ คือเราได้สอนหนังสือให้กับน้องไปรท์เด็กที่ติดสอยห้อยตาแม่ผู้มาขายของที่บริเวณของหลอด และเราจึงได้รู้ว่าการสอนหนังสือนี่ก็อยากไม่ใช่เล่น เราเลยให้น้องวาดรูปอะไรก็ได้ และในขณะที่น้องสร้างสรรค์งานศิลปะ เราก็ได้เห็นแววตาที่เป็นประกาย ไม่เหมือนกับที่พบกันครั้งแรก ที่แววตาน้องดูหม่นหมอง แต่ไม่นานนักน้องก็ต้องกลับบ้าน เพราะแม่ของน้องขายของเสร็จแล้ว หลังจากนั้นเราก็ได้เจอ กุ๊ก หรือกุ๊กกู๋ ผู้ป่วยข้างถนนอีกคน
กุ๊กกู๋ เป็นผู้ป่วยที่อายุมากพอสมควร แต่สมองกลับยังเด็กนัก และก่อนหน้าที่เราจะได้มาฝึกงานที่นี่ พี่จ๋าก็บอกว่าทางมูลนธิก็ได้ช่วยกันสอนโน้นสอนนี้แกกุ๊กจนกุ๊กพอที่จะสามารถทำอะไรได้เองอยู่ในระดับหนึ่ง
กุ๊ก มาพร้อมกับเสื้อผ้าที่แปลกแหวกแนวคือใส่เสื้อผู้หญิง กับกางเกงยีนต์หลุดก้น และเป้าขาดเป็นรอยกว้าง แถมยังมีนกหวีดลายธงชาติ กับเส้นผ้าลายธงชาติอีกเช่นกัน (กุ๊กบอกว่าเห็นคนเยอะดี เลยเดินเขาไป เขาให้มา แถมยังได้ข้าวฟรี พร้อมกับเงินอีกสองหรือสามร้อยบาท อันนี้เราก็ไม่แน่ใจว่าจริงเท็จเพียงใดโปรดใช้วิจารณญาณ จักรยาน อากาศยาน หรืออะไรก็ตามที่มียาน ๆ ประกอบการตัดสินใจในการอ่าน) แต่ก็ไม่ลืมที่จะหาผ้ามาผูกปิดกันกับการทำให้สายตาผู้อื่นตกใจพร้อมรอยยิ้มพรายที่ประปรายเต็มหน้าทั้งปากทั้งตา และทุกประโยคที่พูดล้วนมีคำว่าครับตามหลัง ดูไร้เดียงสา หัวเราง่าย ๆ กินอาหารจุ เหมือนกระเพราะไม่มีวันเต็ม เพราะไม่ว่าถามว่า กุ๊ก กินนี่ไหม กินนั้นไหม กุ๊กก็บอก ครับ กินครับเสมอ
         หลังจากนั้นพอถึงช่วงเย็นเราก็ได้เดินลงพื้นที่ในช่วงเย็น กับพี่นธี พี่จ๋า พี่เลี้ยง และนักศึกษาที่มาหาข้อมูลถ่ายภาพไปรายงาน (บ่อยครั้งที่มีนักศึกษามา) เมื่อเสร็จจากการเดินลงพื้นที่ กับการแจกถุงยางบ้าง ให้ยากันยุงบ้าง ก็มาจบลงที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กับการสรุปสิ่งที่ได้พบเจอมาในระหว่างที่ฝึกงานมาทั้งหมดห้าวันนี้
        สิ่งที่เราได้จากการพูดคุยกับพี่นธีในครั้งนี้ช่วยเปิดมุมมองของเราให้กระจ่างชัดขึ้นอีก โดยสิ่งที่เราเข้าใจมาตลอดว่า การทำงานในครั้งนี้คือมาช่วย ผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ในที่สาธารณะนั้นแท้จริงแล้วไม่ใช่ทั้งหมด สิ่งที่เราต้องทำจริง ๆ คือนำเรื่องราวของเขาเหล่านั้น ออกไปเผยแพร่แก่สาธารณะ เพื่อให้คนทั่วไปได้รับทราบว่า เขาเหล่านั้น ไม่ใช่ชนชั้นที่ไม่มีคุณค่าอะไร หากแต่มีความเท่าเทียมเสมอภาคเท่า ๆ กับเรา ๆ ท่าน ๆ ทุกประการ โดยวิธีการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นบทความ วีดีโอขนาดสั้น ภาพถ่าย การจัดงานสัมนา นิทรรศการภาพ ฯลฯ และในวันหนึ่งข้างหน้าเราจะได้ทำกระบวนการเหล่านั้นอย่างครบถ้วนแน่นอน
        เมื่อเราคุยสรุปกันเสร็จก็มีโทรศัพท์เข้ามาหาว่ามีคนใจดีผู้ไม่ประสงค์จะออกนาม บริจาคเงินเพื่อซื้อข้าวกล่อง และให้นำไปแจกจ่ายที่พาหุรัดกับอาสาอีกคนที่เป็นแม่ค้าขายข้าวราดแกงที่บริเวณคลองหลอด หรือ ป้าหน่อย ถ้าหากแวะเวียนมาแถวนี้ลองมาชิมกันได้ อาหารของแกอร่อยทุกอย่าง เราฝากท้องทุกเที่ยงเลย ฮา และเมื่อแจกจ่ายข้าวกล่องเสร็จก็เป็นอันเสร็จภาระกิจในวันนี้ของเรา
สุดท้ายสายตาเราก็กระจ่างในหน้าที่งานที่ควรจะทำ ว่าเราควรที่จะทำอะไร เพื่ออะไร และควรทำมันให้ดีที่สุดในโอกาสต่อ ๆ ไป 

21 พฤศจิกายน 2556

เริ่มเรียน

วันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
เขียนโดย น้องดรีมนักศึกษาฝึกงาน
            วันนี้เป็นวันที่สามของการลงพื้นที่ฝึกงาน เริ่มวันที่สามด้วยการเดินทักทายถามสารทุกข์สุกดิบเพื่อนของเราที่บริเวณริมคลองหลอด พรางคุยกันถึงกันถึงผู้ที่มาใช้ชีวิตในที่สาธารณะอีกกลุ่มหนึ่ง และส่วนมากคนที่ใช้ชีวิตรอบ ๆ สนามหลวงล้วนเป็นกันคือ “ผู้ติดสุรา” ผู้ติดสุราในที่นี่อธิบายได้ดังนี้
ผู้ติดสุรา คือ ผู้ที่เป็นโรคติดสุราหรือพิษสุราเรื้อรัง เป็นคำกว้างๆ ที่ใช้ในการวินิจฉัยผู้ติดสุรา ที่ทำให้เกิดปัญหาหน้าที่การงาน หรือสุขภาพ มีลักษณะการดำเนินโรคอย่างเรื้อรัง โดยมีลักษณะที่สูญเสียความสามารถในการควบคุมการดื่มสุรา และมีผลเสียตามมาทั้งด้านสังคม กฎหมาย สุขภาพจิต และสุขภาพกาย โดยที่ผู้ป่วยมักไม่ตระหนักถึงปัญหาเหล่านี้ว่าเกิดจากการใช้สุรา สาเหตุที่ทำให้บุคคลเหล่านี้ออกมาใช้ชีวิตในที่สาธารณะ อันเนื่องมาจากครอบครัวไม่สามารถดูแล หรือบางครอบครัวไม่สามารถรับได้กับการมีพฤติกรรมดื่มสุราเป็นประจำ อีกส่วนหนึ่งคือ บุคคลเหล่านี้พอมาใช้ชีวิตในที่สาธารณะ แล้วดื่มสุรามาเป็นเวลานาน ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางความรู้สึกและทำให้เพิ่มความต้องการ แม้ว่าจะเกิดผลเสียมากมาย เป็นการเสพติดทางใจ และการเสพติดทางร่างกาย ทำให้เกิดการถอนสุราหรือไม่สบายหากไม่ได้ดื่ม (อ้างอิงจากหนังสือ การทำงานกับผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ,11)
หลังจากนั้นไม่นาน รถโมบาย ของมูลนิธิอิสรชนก็ขับมาถึง รถโมบายจะลงพื้นที่จอดประจำบริเวณสะพานข้ามคลองหลอดทุกวันอังคารกับวันศุกร์ มีพี่นธีกับพี่จ๋าประจำรถโมบาย โดยรถโมบายจะทำหน้าที่บริการน้ำดื่ม แจกถุงยาง ให้ข้อมูลแก่ผู้ที่สนใจ และให้ความช่วยเหลือแก่เพื่อนของเรา รถโมบายจะมาถึงคลองหลอดเวลาประมาณบ่ายโมงเป็นต้นไปถึงเวลาห้าโมงเย็น
จากนั้นเราก็ได้คุยถึงเรื่องรายระเอียดของงานที่จะได้ทำในอาทิตย์ต่อไป และวางตารางงานต่าง ๆ รวมถึงการลงพื้นที่ในครั้งต่อ ๆ ไปที่จะได้ออกไปนอกพื้นที่สนามหลวง สถานที่ที่ว่านี้ได้แก่ ศิริราช สวนจตุจักร หมอชิต สะพานควาย พาต้า เซนทรัลปิ่นเกล้า สถานนีขนส่งสายใต้ บางกอกน้อย และอาจจะมีเพิ่มอีก รวมทั้งวันที่ 13 14 เราอาจจะต้องไปอบรมความรู้เพิ่มเติมไปอีก
พอเราคุยกันถึงรายระเอียดต่าง ๆ พร้อมทั้งวางแผนงานเสร็จเรียบร้อย เราก็เริ่มทำหน้าที่อีกอย่างหนึ่งของมูลนิธิ คือ การเดินแจกถุงยางให้แก่ Sex worker เราเดินจากคลองหลอดไปถึงบริเวณถนนราชดำเนินแล้วก็กลับมา ตอนแรกกะว่าจะพูดคุยกับพนักงานบริการไปด้วย แต่เหมือนกับว่าเวลาทำงานของพนักงานบริการเขาจะไม่คุยด้วยกับเรา เราจึงทำได้แค่เดินแจกถุงยางไปเท่านั้นเอง และเมื่อเราเดินแจกจนหมดแล้วเราก็เดินกลับมาประจำอยู่ที่รถโมบายเพื่อเฝ้าสังเกตเพื่อนของเราที่เดินผ่านไปผ่านมาหรือให้ความช่วยเหลือแก่เพื่อนของเรา อาทิเช่น การทำแผล เป็นต้น และหลังจากนั้นไม่นานเราก็ได้ทำความรู้จักกับเพื่อนคนใหม่ พี่เครานั้นเอง
พี่เครา แกเกิดที่เพชรบุรี เรียนหนังสือจบ มส.5 หรือม.5 ในปัจจุบัน (แต่สมั่ยนั้นยังไม่มีม.6 แต่มีป.7) และต่อปวช. แต่เรียนไม่จบ แกเลยบอกพ่อว่าอยากเป็นครูตชด. แล้วก็หาวิธีสอบเข้าแต่สุดท้ายด้วยการศึกษาข้อมูลที่ไม่ดีของแกเอง เลยทำให้แกสอบครูไม่ได้ จนในที่สุดแกทนไม่ไหว เลยบอกพ่อของแกเองว่าขอออกมาใช้ชีวิตที่กรุงเทพฯ ก็แล้วกันช่วงนั้นแกอายุ 28 ปี พ่อแกก็บอกว่าได้ แต่ขอให้แกทำงานที่สุจริตไม่ผิดกฎหมายเป็นพอ
หลังจากนั้นแกก็มาใช้ชีวิตที่เมืองหลวง ทำงานทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ อาทิเช่น ทำเครื่องกลึงไม้ ทำรองเท้าหนัง และอีกหลายอย่างตามแต่ที่แกจะทำได้ แต่ในบางครั้งบางงานแกก็ถูกโกง หักหลังบ้าง จากเพื่อนบ้าง คนรักบ้างทำให้แกเสียทั้งเงินเสียทั้งความไว้ใจต่อใคร ในที่สุดแกก็เริ่มที่จะหันหน้าพึ่งเหล้า และกลายเป็นคนติดเหล้าไปในที่สุด
แต่ตอนนี้แกบอกว่าแกมีความฝัน ที่อยากจะเก็บเงินซื้อรถซาเล้งขนของสักคันเพื่อที่จะขนของขนขนมมาขายที่คลองหลอด แกจึงเลิกเหล้า เราก็ได้แต่เฝ้ามองแกต่อไป และดูว่าแกจะพยายามเลิกเหล้าได้หรือไม่ เพราะถ้าหากแกมีความพยายามที่มากพอจนปรับปรุงตัวเองได้ ทางมูลนิธิอิสรชนก็จะได้ช่วยเหลือแก ด้วยการให้เงินแกไปลงทุนในส่วนหนึ่งเพิ่มเติมจากส่วนที่แกเก็บหอมรอมริบได้จากการเก็บขวดขาย และแน่นอน นั้นย่อมเป็นหลังจากที่แกเลิกเหล้าได้แล้ว
วันนี้เรายังได้เดินรอบสนามหลวงกับพี่เลี้ยงของเรา เพื่อพบป่ะกับเพื่อนใหม่ ๆ และเข้าไปทักทายทำความรู้จักกับเขาเหล่านั้น โดยอาจมี ยากันยุงแบบซองไปฝากบ้าง หรืออาจเป็นถุงยางหากเพื่อนของเราต้องการ และในตอนค่ำพี่นธีกับพี่จ๋ายังพาเราเดินเข้าไปในตรอกสาเก ที่ที่เหล่าพนักงานบริการ จะใช้เป็นที่ทำงาน เพื่อนเดินเข้าไปแจกถุงยาง และสำรวจข้อมูลไปด้วย แต่เนื่องจากเราเข้ากันไปตอนหัวค่ำ จึงยังไม่พบพนักงานบริการมากนักมีเพียงสองถึงสามคนได้ พวกเราจึงได้ออกมา และสิ้นสุดการปฎิบัติงานในวันนี้
จากที่เราได้คุยกับพี่เครา ทำให้เราได้เห็นว่าจุดเปลี่ยนของคนเรา อาจมาจากการที่ถูกกระทำโดยคนรอบข้าง หรือคนที่ไว้ใจ จนทำให้สภาพจิตใจไม่เข็มแข็งพอต้องหันหน้าไปพึ่งของจำพวกสารเสพติด อาทิ เหล้า หรืออะไรทำนองนั้น ทำให้ในท้ายที่สุดผลลัพธ์ก็ออกมาย่ำแย่ยากที่จะหวนคือสู่วิธีชีวิตดั้งเดิม เราอยากเห็นพี่เคราแกกลับตัวกลับมาใช้ชีวิตได้เหมือนเดิมอีกครั้ง แต่ก็นั้นแหล่ะเราคงทำอะไรไม่ได้มาก นอกจากเข้ามาพูดคุยให้กำลังใจ และเรียนรู้จากพี่เครา จากนั้นที่เหลือคงทำได้เพียงเฝ้ามองแกเดินหน้าต่อไป ไปสู่ที่ที่แกอยากจะไปอยู่ในจุดจุดนั้น


16 พฤศจิกายน 2556

ความชัดเจน

วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
         วันนี้เป็นวันที่สองของการลงพื้นที่ฝึกงาน วันนี้เราตกลงกับพี่เลี้ยงเราว่าจะเดินไปที่ถนนราชดำเนิน พร้อมคุยกันถึงเรื่องลักษณะของผู้ที่ใช้ชีวิตในที่สาธารณะว่าแบ่งออกได้กี่ประเภทรวมความได้ทั้งสิ้น 13 ประเภท แต่ในวันนี้นั้นเราคุยเจาะจงลงไปแค่บุคคลที่เป็นผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะที่มีอาชีพเป็นพนักงานบริการเพื่อคลายความเครียตให้กับผู้อื่น หรือนั้นคือ Sex worker
          Sex worker หรือ พนักงานบริการ คือ บุคคลที่หาเลี้ยงชีพตัวเองด้วยการบริการทางเพศ ให้บริการทางด้านอารมณ์ จิตใจ โดยแลกกับค่าตอบแทน การเป็นพนักงานบริการอาจเนื่องมาจากเหตุหลายประการ เป็นต้นว่าความยากจนของครอบครัว ความจำเป็นในทางเศรษฐกิจประการอื่น การขาดความรักและความอบอุ่นจากพ่อแม่ การไม่เป็นที่รักและยอมรับของใคร ๆ การได้เห็นตัวอย่างในเรื่องเพศสัมพันธ์ที่ไม่ดีมาแต่เยาว์วัย ความผิดปรกติทางจิตใจเกี่ยวกับเรื่องเพศ การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี โดยมักยืนตามที่สาธารณะ ตามริมถนน บางคนเป็นทั้งคนเร่ร่อนและพนักงานบริการ (อ้างอิงจากหนังสือ การทำงานกับผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ,12)
Sex worker มีช่วงอายุตั้งแต่ 11 – 80 ปี แบ่งได้สองช่วงคือ 1. ช่วงอายุ 11 – 29 นับเป็นช่วงสาวรุ่น 2. ช่วงอายุ 30 – 80 นับเป็นช่วงผู้สูงอายุ แบ่งการจัดพื้นที่การยืนอยู่รอบสนามหลวงอย่างเป็นระเบียบจะไม่มีการล้ำเส้นข้ามพื้นที่กันโดยเด็ดขาด และยังรวมไปถึงผู้ที่มีความหลากหลายทางด้านเพศที่บ้างคนก็มีอาชีพเป็นผู้บริการด้วย ในส่วนรายระเอียดปลีกย่อยที่มากกว่านี้เราขอไม่เอ่ยถึง
         เราได้รู้ถึงวิธีการสังเกตว่ามีวิธีการสังเกตที่กลิ่น เพราะเหล่าพนักงานบริการ จะใช้น้ำหอมกลิ่นเฉพาะ แต่มันกลับทำให้เราต้องหนักใจเนื่องจากเรามีปัญหาทางการรับรู้กลิ่น แยกประเภทกลิ่นไม่ค่อยจะถูก ถ้ากลิ่นไม่ฉุนติดฉมูกจริงแทบจะไม่รู้สึกเลย แต่ไม่เป็นไร เราคงต้องหาวิธีสังเกตอื่นแทน
ส่วนมากแล้วเหล่าพนักงานบริการมักจะไม่เปิดเผยตัวเอง อาจต้องใช้เวลาในการพูดคุยทำความรู้จักเป็นปีเราถึงจะทราบได้ เราจึงต้องใช้วิธีการสังเกตข้างต้นแทน และในบางคนที่มาเป็นพนักงานบริการอาจเป็นผู้ที่มีปัญหาทางจิตรวมอยู่ด้วย หรือเป็นผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ในที่สาธารณะไปในขณะเดียวกัน เพราะฉะนั้น ผู้ที่ใช้ชีวิตในที่สาธารณะหนึ่งคนอาจถูกจัดไว้ได้หลายประเภทด้วยกัน
         หลังจากที่เรานั่งคุยกันถึงเรื่องพนักงานบริการไปได้สักพักแล้วตกลงว่าจะลงพื้นที่ไปคุยกับเหล่าเพื่อนของเราต่อ ก็ได้เกิดเหตุที่มีผู้ชุมนุมเดินขบวนมาทางถนนราชดำเนิน ทำให้การที่เราจะไปคุยกับเพื่อนของเราเริ่มยากขึ้น เพราะเหล่าเพื่อนของเหล่าไม่ชอบคนเยอะ บางคนอาจหนีหายไปแถวอื่น หรือบางคนอาจไปร่วมอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมด้วย เราจึงเดินกลับมาที่สนามหลวงบริเวณคลองหลอดพร้อมกับผู้ชุมนุมที่มีมากมาย และเราก็ได้เจอกับเพื่อนของเรา
         เราได้เจอกับพี่เวชแกเป็นผู้ติดสุรา แกเกิดที่กาญจนบุรี แกเป็นคนภูเขา และในขณะที่คุยกันอยู่ พี่เฉลิมก็เดินมา
          พี่เฉลิม คนเดิมผู้มาจากลำปาง วันนี้แกบอกว่าอยากจะทำบัตรประชาชนใหม่เพราะบัตรเก่าหายไป พี่เลี้ยงเราบอกว่าแกต้องกลับไปที่ภูมิลำเนาเดิมจึงจะสามารถทำบัตรใหม่ได้ แกได้ยินดังนั้นก็บอกว่าไม่อยากกลับไป แล้วแกก็ใช้เราไปซื้อน้ำมาให้หน่อยเนื่องจากขาแกเจ็บเดินข้ามถนนไปอีกฝั่งหนึ่งของคลองหลอดที่มีร้านขายของ 24 ชั่วโมงไม่ไหว เราเลยรับเงินจากแกมาแล้ววิ่งไปซื้อให้แต่พอกลับมาพี่เวชก็หายตัวไปซะแล้ว หลังจากนั้นเราก็คุยถามสารทุกข์สุกดิบกับพี่เวชแล้วขอตัวจากมาปล่อยให้แกไปหาที่พักผ่อนของตัวเอง
เรากับพี่เลี้ยงเดินไปเรื่อย ๆ ก็ไปเจอกับ ลุงคำไข หรือ ลุงไข ลุงไขแกมาจากสุริน อายุ 55 20 พฤศจิกายน นี้ก็ 56 ลูกเมียแกตายหมดแล้ว แกมาอยู่ที่นี่ได้ 4 – 5 เดือน ตอนแรกแกมาอยู่ที่หมอชิตแล้วไปอยู่แถวถนนราชดำเนิน แต่ถูกขโมยกระเป๋าไป ดีที่แกเก็บเงินไว้ที่กระเป๋ากางเกงเงินจึงไม่หายไปด้วย หลังจากนั้นแกก็มาอยู่แถวคลองหลอดสนามหลวงแทน แกยังบอกอีกว่าแกเคยไปอยู่ สถานสงเคราะห์แล้ว แต่มันไม่มีอิสระจะทำอะไรก็ต้องมีกฎ แกเลยมาอยู่ที่นี่แทนดีกว่า
         หลังจากที่เราได้คุยทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ เราพอจะจับจุดได้นิดหน่อยว่า เขาเหล่านี้ ล้วนต้องการเพียงแค่ อิสระ อิสระที่จะได้ทำตามใจตัวเองโดยที่ไม่ต้องถูกใครมาบังคับให้ทำอะไรก็ตามที่ตนเองไม่ชอบ แต่มันก็เป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยที่เราเริ่มจะเห็น มันคงยังต้องใช้เวลาอีกมาก ในการเปิดมุมมองของเราให้ชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิม

เขียนโดย  น้องดรีม นักศึกษาฝึกงาน

9 พฤศจิกายน 2556

ประสบการณ์ที่ได้รับจากการฝึกอบรมอาสายุวกาชาดด้านการปฐมพยาบาล


    วันนี้จะมาเล่าถึงประสบการณ์ที่ได้ไปอบรมอาสายุวกาชาดด้านการปฐมพยาบาลที่ค่าย ผิน แจ่มวิชาสอน เพรช     เกษม 102 3 วัน 2 คืน ระหว่างวันที่ 6-8 พฤศจิกายน
ในตอนแรกตัวฉันเองก็ไม่รู้ว่ามาที่นี้เค้าจะสอนอะไรเราบ้างในวันแรกก็รู้สึกเกร็งนิดๆต่างสถาบันต่างโรงเรียนได้มาอบรมด้วยกันฉันจับได้สีแดงในกลุ่มสีแดงก็มีเพื่อนต่างโรงเรียนปนๆกันไปตอนแรกก็ไม่กล้าที่จะคุยที่จะทักแต่พอนานๆไปฉันรู้สึกว่าเราสามารถเข้ากับคนอื่นได้และสามารถอยู่ตัวคนเดียวได้โดยที่ไม่มีใครมิตรภาพระหว่างเราและเพื่อนต่างโรงเรียนก็ได้เกิดขึ้นสิ่งที่วิทยากรได้สอนฉันก็มี 6 วิชา
วิชาที่ 1 สิ่งที่ฉันและเพื่อนๆได้เรียนรู้ก็คือ หลักการปฐมพยาบาล การประเมินอาการผู้บาดเจ็บ
วิชาที่ 2 ได้เรียนเกี่ยวกับบาดแผล แผลไหม้ การห้ามเลือด การใช้ผ้าพันแผล การจัดเตรียมชุดปฐมพยาบาล
ส่วนวิชาที่ 3และ4 คือ วิชาการปฏิบัติการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน การทำ CPR ในเด็กอายุ 1-8ปี และเด็กทารกได้ 1เดือน - 1ปี และวิชา การสำลักสิ่งแปลกปลอมอุดอันตันหลอดลม
วิชาที่ 5 และ 6 คือ วิชาการบาดเจ็บของกระดูกและข้อ,การเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บ และ วิชาสุดท้ายที่ฉันได้เรียนก็คือวิชา ภาวะเจ็บป่วยฉุกเฉิน การเป็น ลม ช๊อก ชักและหมดสติ , สารพิษจากสัตว์
    ซึ่งในตลอดทั้ง3วันนี้ัฉันได้รับประสบการณ์ที่ดีจากการเรียนปฐมพยาบาลเยอะมากและคิดว่าฉันจะสามารถนำไปใช้กับชีวิตประจำวันได้และที่ไม่ลืมอีกอย่างนึงคือมิตรภาพที่ดีจากเพื่อนๆน้องๆที่มาจากต่างโรงเรียนฉันดีใจที่ได้เข้าอบรมในครั้งนี้ :) 

แรกสบตา

ผู้เขียน น้องดรีม นักศึกษาฝึกงาน

วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
        วันแรกของการฝึกงาน การลงพื้นที่ครั้งแรกที่สนามหลวงในฐานะนักศึกษาฝึกงานของ “มูลนิธิอิสรชน” ได้พบ และพูดคุยกับผู้ที่ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ ทำให้ได้รู้ถึงอะไรหลาย ๆ อย่าง อาทิเช่น เหล่าคนที่ใช้ชีวิตหลับนอนรอบสนามหลวงนั้น 90 % เป็นผู้ที่มีอาการติดแอลกอฮอล์ และอีก 10 % กินบ้างไม่กินบ้างตามแต่โอกาศ คนเหล่านี้ล้วนหนีจากบางสิ่งบางอย่าง หรืออาจมีปัญหาที่ติดพันทำให้ไม่สามารถที่จะหวนกลับบ้านได้ เขาเหล่านี้จึงต้องเดินทางอยู่ตลอดเวลา และในบางคนการเดินทางสิ้นสุดที่ท้องสนามหลวง อาจเป็นเพราะที่นี้ไม่มีคนที่เขารู้จัก หรือรู้จักเขามาก่อน มันทำให้เขารู้สึกได้ถึงอิสระที่เขาไม่มีเมื่อครั้งในอดีต
วันนี้เราได้พูดคุยทำความรู้จักกับผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ที่ท้องสนามหลวง เราเรียกเขาว่า “เพื่อน” เพราะเราทุกคนล้วนเท่าเทียม และเป็นเพื่อนกัน
         ยายชนา ยายชนาแก่มาจากต่างถิ่นเดินทางจากบ้านมาใช้ชีวิตที่ท้องสนามหลวง พี่เลี้ยงที่คอยชี้แนะเราบอกว่าแกเคยลั่นวาจาเอาไว้ว่าแกจะตายที่นี่ แต่เราไม่อยากให้มันเป็นเช่นนั้นเลย 
พี่เฉลิม พี่เฉลิมแกมาจากลำปาง แกบอกว่าแกอยู่ที่บ้านแล้วไม่สบายใจเนื่องจากโดนดูถูกจากแฟนสาวของน้องชาย เพราะแกไม่สามารถช่วยงานที่บ้านได้ แกเลยหนีจากบ้านที่เป็นมรดกตกทอด บ้านที่แกสมควรที่จะได้อยู่โดยชอบธรรม แกบอกว่าแกมาที่นี่แกสบายใจ อาจจะไม่สบายกายนักที่ต้องตากแดดตากฝน กินอิ่มบ้างอดบ้าง แต่มันก็ไม่ได้ทำให้แกทุกข์ใจ เราถามแกไปว่าแล้วที่บ้านไม่เป็นห่วงบ้างเหรอที่แกออกมาใช้ชีวิตอยู่แบบนี้ พี่ชนาแกก็บอกว่า ตอนที่ออกมาจากบ้าน น้องชายแกก็ร้องห่มร้องไห้ไม่อยากให้แกมา แต่แกตัดสินใจอย่างเด็จขาดแล้วว่าจะมา เพราะแกไม่สบายใจที่ต้องอยู่เป็นภาระให้กับน้องชายของแก
          พี่กอล์ฟ พี่กอล์ฟแกจากบ้านมาเพราะมีปัญหาในเรื่องของความสัมพันธ์กับภรรยาที่มีมือที่สามมาเกี่ยวข้อง และแกยังติดแอลกอฮอล์ เพราะในขณะที่เราพูดคุยกัน แกก็จิบน้ำสีขาว ๆ กลิ่นฉุนจมูกไปด้วย แกทำงานหาเงินโดยการเก็บขวดขาย แต่เพราะแอลกอฮอล์ทำให้บางครั้งสิ่งที่แกหามาได้ไม่ว่าจะเป็นรถสามล้อที่ซื้อมาด้วยน้ำพักน้ำแรง เมื่อแกเมามันก็มหลายหายไป สุดท้ายแกก็ต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง แล้วในบางทีที่เมาแกก็มีเรื่อง หลักฐานที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดในเรื่องนี้คือบาดแผลที่โดนของมีคมบริเวณแขนซ้ายช่วงบน หน้าอกซ้ายบริเวณหัวใจ และอีกหลายแห่งประปรายทั่วร่างกายโชคดีที่ไม่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตแม้บาดแผลจะดูน่ากลัวมาก เราจึงต้องล้างแผลให้แก และคุยไปด้วยในขณะเดียวกัน
         สิ่งที่เราได้พบเจอในวันแรกของการฝึกงาน ในวันแรกของการลงภาคสนามมันทำให้เราได้เรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่าง ได้พบเจอสิ่งที่ถ้าไม่ลงมาสัมผัสด้วยตัวเองจะไม่มีวันได้เข้าใจเลยเป็นอันขาด
เราทุกคนต่างมีปัญหา คนบางคนแก้ปัญหาด้วยตัวเองได้ แต่ก็มีอีกหลายคนที่ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ หากทว่า คนทุกคนควรมีสิทธิที่จะใช้ชีวิตในสังคมได้ไม่น้อยไปกว่ากัน เพราะผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ในที่สาธารณะ เขาก็คน เราก็คน เราเท่ากัน เราหวังว่าเราจะได้เรียนรู้จากการฝึกงานครั้งนี้ จากเพื่อน ๆ ทีเราจะได้พบเจอในโอกาศต่อ ๆ ไปมากยิ่งขึ้นไปอีก เพื่อเปิดมุมมองของเราให้แจ่มใสชัดเจน และกว้างขึ้นกว่าเดิม

3 พฤศจิกายน 2556

Homeless All (+เพลย์ลิสต์)


คุณกับเขาเราเท่ากัน อยู่กันอย่างเข้าใจเห็นใจ
The road to friendship,sharing,and opportunity.
เส้นทางแห่ง มิตรภาพ การแบ่งปัน และโอกาส

http://www.youtube.com/v/Fx0ZeEwYBag?list=UUVy-ZlNRyAuCejRSaXj-diA&version=3&attribution_tag=_PMSy9HiMezuFplJcmr2aA&autohide=1&showinfo=1&feature=share&autoplay=1

Homeless 4 (+เพลย์ลิสต์)

คุณกับเขาเราเท่ากัน อยู่กันอย่างเข้าใจเห็นใจ
The road to friendship,sharing,and opportunity.
เส้นทางแห่ง มิตรภาพ การแบ่งปัน และโอกาส


http://www.youtube.com/v/pdtgtHR2GI0?version=3&list=UUVy-ZlNRyAuCejRSaXj-diA&autohide=1&feature=share&autoplay=1&showinfo=1&attribution_tag=JPbvTRv8ok9nxxxr7E4dBw

Homeless 3 (+เพลย์ลิสต์)

คุณกับเขาเราเท่ากัน อยู่กันอย่างเข้าใจเห็นใจ
The road to friendship,sharing,and opportunity.
เส้นทางแห่ง มิตรภาพ การแบ่งปัน และโอกาส


http://www.youtube.com/v/YEs7mWveaqA?version=3&list=UUVy-ZlNRyAuCejRSaXj-diA&feature=share&showinfo=1&autohide=1&attribution_tag=8w203JwqmoLoFaBjZhhT_g&autoplay=1

Homeless 2 (+เพลย์ลิสต์)

http://www.youtube.com/v/Wgzf4D115ak?version=3&list=UUVy-ZlNRyAuCejRSaXj-diA&autohide=1&feature=share&showinfo=1&autoplay=1&attribution_tag=csYXmWKuL9zo1xCB8ZXOAg

คุณกับเขาเราเท่ากัน อยู่กันอย่างเข้าใจเห็นใจ
The road to friendship,sharing,and opportunity.
เส้นทางแห่ง มิตรภาพ การแบ่งปัน และโอกาส

Homeless 1 (+เพลย์ลิสต์)

คุณกับเขาเราเท่ากัน อยู่กันอย่างเข้าใจเห็นใจ
The road to friendship,sharing,and opportunity.
เส้นทางแห่ง มิตรภาพ การแบ่งปัน และโอกาส


http://www.youtube.com/v/XXKw8YW5Hts?list=UUVy-ZlNRyAuCejRSaXj-diA&version=3&attribution_tag=9BZHHf-l2IoZZBCG0XebVg&showinfo=1&autohide=1&feature=share&autoplay=1

มิตรภาพข้างถนน


สมัย..นิยม ผู้เขียน
พูดถึงคำว่า มิตรภาพ หมายถึง มิตรภาพในความเป็นเพื่อนและความเห็นที่คล้ายคลึงกันจะเป็นพื้นฐานของมิตรภาพ 
ฉันได้มีโอกาสได้รู้จักกับเพื่อนคนนึงที่เค้าอยู่ข้างถนน เค้าชื่อ ตุ๊ก ชายหนุ่มที่ใส่เสื้อผ้าหลายตัว ใส่หมวกกันฝน ใส่เสื้อกันหนาวตัวหนาๆ มีกระเป๋าใส่เสื้อผ้าหลายใบ ครั้งแรกฉันได้เจอกับตุ๊กที่สนามหลวงเห็นตุ๊กกำลังยืนสงบนิ่งอยู่กลางสนามหลวงเลยเดินเข้าไปทักทายตอนแรกตุ๊กก็ยังกล้าๆกลัวอยู่ซึ่งเราก็เข้าใจกับการทักทายครั้งแรกตุ๊กอาจจะยังไม่คุ้นชินที่มีคนมาทักทายเค้าและสนใจเค้าหลังจากนั้นฉันก็ได้มีโอกาสไปทักทายตุ๊กทุกวัน ได้เอาขนมติดมือไปฝากได้นั่งกินขนมกับตุ๊ก  มิตรภาพระหว่างความเป็นเพื่อนระหว่างตุ๊กกับฉันก็ได้เกิดขึ้น เรื่องราวที่วนเวียนในหัวของตุ๊ก ตุ๊กเล่าให้ฟังว่าเค้าชอบเล่นกีฬาหลายชนิดและเคยได้เหรียญทองโอลิมปิกแล้วเค้าก็กำลังรอพี่หนุ่ยและเพื่อนนักกีฬาด้วยกันที่จะพาเค้าไปแข่งกีฬาที่โอลิมปิก ตุ๊กยังบอกอีกว่าเค้าเคยฮ.ตกที่ค่ายแห่งหนึ่ง ทุกครั้งที่ฉันจะลุกเดินกลับ ตุ๊กจะพูดกับฉันเสมอว่า ' อย่าลืมนะผมรออยู่ที่เดิม ' มันทำให้ฉันได้คิดว่าตุ๊กกำลังรอใครสักคนนึงอยู่รึป่าว และนี้คือเรื่องราวของมิตรภาพที่ดีของฉันที่อยากจะให้ทุกคนได้อ่าน :)